รวบรวมจาก www.thairath.co.th


วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2543

หลังจากถูกจับนอนในห้องขังมานานร่วมสัปดาห์แล้ว นายกิตติ ปภัสโรบล หรือกู้ หัวหน้าแก๊งต้มตุ๋นจัดฉาก เป็นเปรตที่ป่าคำชะโนด ก็ยังคงต้องใช้ชีวิตในซังเตต่อไปอีก 6 วัน โดยผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา เวลา 11.30 น. พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์ศรีนิล สว.ผ.4กก.2 ป. สั่งการให้ ร.ต.อ.สุรพงษ์ สายวงศ์ พงส. (สบ2)ผ.4 กก.2ป. เบิกตัวนายกิตติออกจากห้องควบคุม พาไปยังศาลแขวงพระนครเหนือ เพื่อยื่นคำร้อง ขอผัดฟ้องและฝากขังเป็นครั้งที่ 2 และขออำนาจศาลนำตัวมาควบคุม ที่กองปราบปรามต่อไปอีก 6 วัน พร้อมกับขอคัดค้าน การประกันตัวของนายกิตติ เนื่องจากครบกำหนดเวลา ที่ศาลอนุญาตฝากขัง แต่ทางพนักงานสอบสวน ยังไม่สามารถสรุปสำนวนส่งฟ้องได้ และต้องสอบปากคำพยานอีก 5 ปาก รวมทั้งรอพยานหลักฐานอื่นๆ อีก โดยศาลอนุญาต ร.ต.อ.สุรพงษ์จึงนำตัวนายกิตติมาควบคุมที่ผ.4กก.2 ป ตามเดิม

ต่อมา พ.ต.ท.ประวุธ เปิดเผยถึงความคืบหน้าทางคดีว่า ในการดำเนินคดีนายกิตติ 3 ข้อหา คือ ฉ้อโกง, แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ และดูหมิ่นเหยียดหยามพระพุทธศาสนานั้น เท่าที่ดูหลักฐานประกอบคดีทั้งหมด ค่อนข้างชัดเจน แต่ในตอนนี้ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม ต้องรอให้คดีฉ้อโกงเรียบร้อยก่อน นอกจาก 3 ข้อหา ยังจะมีการดำเนินคดี กับนายกิตติในข้อหาแต่งกาย ด้วยเครื่องแบบทหารโดยไม่มีสิทธิ ขณะนี้กำลังประสานงานกับตำรวจอุดรธานี เนื่องจากทำหนังสืออายัดตัว นายกิตติมาที่กองปราบปราม แต่อยู่ในระหว่างการรวบรวมหลักฐาน ในการดำเนินคดี เมื่อดำเนินคดีที่นี่เสร็จแล้วก็จะดำเนินคดีที่ จ.อุดรธานี ต่อไป ส่วนคดีของนายสุวินัย ภรณวลัย อาจารย์คณะเศรษศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ต้องคดีหมิ่นประมาท เท่าที่มีการสอบปากคำผู้ต้องหา และพยานเรียบร้อยแล้วค่อนข้างสมบูรณ์ คิดว่าสามารถส่งตัวผู้ต้องหาฟ้องได้ในเร็ววันนี้


วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองปราบฯว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 พ.ค. นายสุวินัย ภรณวลัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ศิษย์เอกของนายกิตติ ปภัสโรบล หรือ "กู้ 18 มงกุฎ" พร้อมภรรยาชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นทนายประจำตัว และคณะผู้จัดทำนิตยสารอาทิตย์ รวม 4 คน เข้าพบ พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์ศรีนิล สว.ผ.4.กก.2ป. ตามหมายเรียกในคดีหมิ่นประมาท ที่มีนางฉวีวรรณ โกสิยพันธ์ เศรษฐินีชาวสุราษฎร์ธานี ผู้เป็นเจ้าทุกข์ในคดีเปรตกู้ต้มตุ๋น เป็นผู้แจ้งให้ดำเนินคดี และในฐานะพยานนายกิตติ ฉ้อโกงนางฉวีวรรณ โดยนายสุวินัยนำหลักฐาน เป็นเอกสารต่างๆ จำนวน 1 กระเป๋า มาด้วย หลังเข้าพบ นายสุวินัยได้มอบนิตยสาร "อาทิตย์" ฉบับที่ 1, 119 ประจำวันที่ 28 พ.ค.-3 มิ.ย. ซึ่งเป็นเล่มล่าสุด หน้าปกเป็นภาพร่างดรอว์อิ้ง รูปหน้าผู้ชาย มีข้อความว่า "ลูกผู้ชายชื่อสุวินัย" ให้ พ.ต.ท.ประวุธ 1 เล่ม โดยในเล่มมีเนื้อหาบทความ ที่นายสุวินัยเขียนขึ้นทำนองเปิดใจ ในชีวิตความเป็นมาของนายสุวินัยเอง โดยที่นายสุวินัยกล่าวยอมรับกับ พ.ต.ท.ประวุธว่า ที่ตนให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ทำนองหมิ่นประมาทนางฉวีวรรณนั้น เป็นคำพูดของตนจริง ที่ได้รับฟังมาจากนายกิตติ โดยในวันนั้นมีนักข่าวขอสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ และได้ย้ำกับนักข่าวที่สัมภาษณ์ให้ตัดคำพูดนี้ทิ้งไป แต่ปรากฏว่าในเช้าวันรุ่งขึ้นก็เป็นข่าวออกมา ตอนนี้ไม่อยากให้สัมภาษณ์อะไรแล้ว เพราะเปรียบเหมือนคนที่ตายไปแล้วจากสังคม

 

ต่อมาเวลา 12.30 น. พ.ต.ท.ประวุธได้เบิกตัวนายกิตติ หรือกู้ ต้นตำรับเปรตคำชะโนด ออกจากห้องควบคุม มาสอบปากคำเพิ่มเติมที่ห้องทำงานของ พ.ต.ท.ประวุธ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อทั้งคู่พบหน้ากัน ทั้งคู่ต่างก็ปราดเข้ามา จับไม้จับมือด้วยความยินดี โดยทั้งนายกิตติและนายสุวินัย ต่างก็มีสีหน้าสดชื่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นนายสุวินัยได้ถามนายกิตติ ว่ามีเงินใช้หรือไม่ และเมื่อทราบคำตอบจากนายกิตติว่าไม่มี นายสุวินัยก็ทำท่าล้วงกระเป๋ากางเกง เหมือนจะหยิบเงินให้ แต่เมื่อเห็นผู้สื่อข่าวมองอยู่ นายสุวินัยก็ทำท่าชะงัก และขอให้ผู้สื่อข่าวออกจากห้อง ซึ่ง พ.ต.ท.ประวุธได้สอบปากคำนายกิตติจนเวลา 13.00 น. ก็นำกลับไปควบคุมไว้ตามเดิม โดยมีนายสมชาย เตรียมเกียรติคุณ นายประกัน นำอาหารปิ่นโตมาขออนุญาตสิบเวร เข้าเยี่ยมนายกิตติ สำหรับนายสุวินัยได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่อาจารย์ มหาวิทยาลัย ประกันตัวเอง ก่อนเดินทางกลับไป

 

ที่สภาทนายความตอนเย็น ได้มีการนำเทปวีดิโอชุดผีเปรตของ พ.อ.นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา พร้อมด้วยวีดิโอ รายการฮอตไลน์คลายเครียด ซึ่งบันทึกไว้เมื่อวันที่ 20 เม.ย. เพื่อเตรียมออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 มาเปิดเพื่อตรวจสอบความผิดทางกฎหมาย ของผู้ที่นำมาเผยแพร่ โดยมีนายวันชัย สอนศิริ เลขาธิการสภาทนายความ กับเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งเข้าร่วมชม โดยนายวันชัยกล่าวหลังจากดูวีดิโอว่า เท่าที่ดูแม้จะเอาผิด ในแง่ของกฎหมายโดยตรงกับ พ.อ.นพ.พงศักดิ์ไม่ได้ เพราะมองว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล และยังไม่ก่อให้ เกิดความเสียหายกับใคร เว้นแต่ความเชื่อนี้จะถูกนำเสนอ และทำให้ประชาชนหลงเชื่อ แต่ถือว่าเข้าข่ายความผิดลหุโทษในมาตรา 389 ซึ่งระบุไว้ว่า ผู้ใดแกล้งบอกเล่าความเท็จ จนเป็นเหตุให้ประชาชนตกใจหรือแตกตื่น มีโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ 10,000 หรือทั้งจำและปรับ


วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

ความคืบหน้าเรื่องฮือฮารายใหม่ กรณี รศ.ร.ต.อ. สรพล สุขทรรศนีย์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใช้โรงแรมกลางกรุง เป็นสถาบันเปิดสอนหลักสูตรการสั่งจิตใต้สำนึกขั้นที่ 2 โดยอ้างว่า สามารถทำให้ช้อนส้อมบิดงอได้ เพราะใช้พลังจิตเร้นลับนั้น นายบัญชา ธนะบุญสมบัติ นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะ และวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า โดยทั่วไปแล้ว ช้อนมีหลายชนิด ทั้งแบบที่ทำจากเงิน สังกะสี เหล็กกล้า จึงทำให้มีความ สามารถทางกลแตกต่างกัน ซึ่งการจับช้อนแล้วทำให้บิดได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกเป็นเรื่องที่ทำได้มานานแล้ว ในแวดวงวิทยาการโลหะและวัสดุศาสตร์ สามารถทำได้มากกว่านี้ โดยไม่ต้องพึ่งพลังจิตด้วยซ้ำ ในต่างประเทศ ไม่ได้หลงงมงายกับเรื่องลักษณะนี้ แต่เขาสามารถไปไกลกว่านี้แล้ว ด้วยการพัฒนาจากความรู้ที่ค้นพบ นำไปสร้างประโยชน์ด้วยการผลิตเป็นสิ่งของออกมาขาย เช่น การทำให้โลหะจำรูปด้วยการใช้พลังงานความร้อน หรือทำให้โลหะที่งอให้กลับมาอยู่ในรูปแบบเดิม ใช้ประโยชน์ ในการผลิตขาแว่นตา เป็นต้น

ขณะที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผอ.สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สำนักเสริมศึกษาฯ เคยจัดอบรมในเรื่องการสั่งจิตใต้สำนึกเมื่อหลายปีมาแล้ว โดย รศ.ร.ต.อ.สรพล สุขทรรศนีย์ เป็นวิทยากร เปิดอบรมรุ่นแรกตั้งแต่เดือน มิ.ย.ปี 2533 จนกระทั่งรุ่นสุดท้ายเมื่อเดือนมกราคม ปี 2542 หรือประมาณ 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา เป็นจำนวนทั้งสิ้น 181 รุ่น แต่ละรุ่นจะมีผู้เข้าอบรม ซึ่งมักเป็นบุคคลภายนอกประมาณรุ่นละ 40 คน เสียค่าใช้จ่ายคนละประมาณ 2,000-2,800 บาท วิชาที่เรียน มีการตัดตะเกียบด้วยกระดาษ การทำสะพานโค้งให้คนขึ้นไปยืนบนหน้าท้อง แต่ไม่มีสอนการงอช้อน ซึ่งในจำนวนนี้ มีดารานักแสดงอาทิ กิ๊ก-มยุริญ ผ่องผุดพันธุ์, ศรัณยู วงษ์กระจ่าง,ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ และนักร้อง ทอม ดันดี เข้าร่วมอบรมด้วย ส่วนสาเหตุที่เลิกโครงการเพราะ รศ.ร.ต.อ.สรพล ขอถอนโครงการออกไป กับลักษณะเนื้อหาการอบรมยังไม่สามารถ ที่จะอธิบายได้ด้วยวิธีการด้านวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยไม่สบายใจที่จะให้มีหลักสูตรดังกล่าว ดังนั้นหลักสูตรนี้จึงถูกยกเลิกไปด้วยเหตุผลของทั้งสองฝ่าย

ด้านนายเฉลิมสวรรค์ ไพบูลย์พันธ์ หรือ ฟิลิป ยอดมายากลชื่อดัง กล่าวว่า ถ้ามองในแง่ของนักมายากลแล้วสามารถทำให้วัตถุใดๆ โค้งงอได้ โดยวิธีทางมายากล ซึ่งนักมายากลที่เก่งที่สุดของโลก คือ นายยูลิ เกเรอร์ ชาวอิสราเอล ตอนแรกนักมายากลคนนี้บอกว่า เป็นนักพลังจิตที่สามารถทำให้วัตถุโค้งงอได้ ด้วยวิธีการเพ่งกระแสจิต แต่ภายหลังถูกจับได้ว่าใช้วิธีทางมายากล ที่คนทั่วไปที่ไม่ได้รับการฝึกฝน หรือเรียนรู้ทางมายากลทำไม่ได้ เช่นเดียวกันก่อนหน้านี้ ตนเคยนำตะปูคอนกรีตขนาด 4 นิ้ว นำมาใส่มือแล้วกำมือ พอแบมือออกมาปรากฏว่าตะปูดังกล่าวงอได้ โดยไม่ต้องใช้วิธีการเพ่งพลังจิตอะไร เป็นเพียงวิธีการของมายากลที่ไม่สามารถเปิดเผยได้

ผู้คนแตกตื่น แห่กันไปกราบไหว้รูปปั้น "ช้างสามเศียร" ที่ตั้งเด่นสะดุดตาหน้าบริษัทธนบุรีประกอบรถยนต์ ริมถนนสุขุมวิท หลัก กม.ที่ 22 อ.เมือง จ.สมุทรปราการ หลังจากมีกระแสข่าวรํ่าลือกันว่า "ช้างสามเศียร" ตัวนี้ ให้คุณแก่นักแสวงหาโชคลาภมาแล้ว หลายต่อหลายราย ผู้สื่อข่าวไปสังเกตการณ์ เมื่อบ่ายวันที่ 29 พ.ค. พบว่า ที่บริเวณดังกล่าวซึ่งจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ มีรูปปั้นประติมากรรมช้างสามเศียรขนาดใหญ่ สูงประมาณ 50 เมตร อยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่มีชาวบ้านทั้งหญิงชายจำนวนมากพากันนำพวงมาลัยดอกไม้สด และผลไม้ อาทิ กล้วย อ้อย เงาะ มากราบไหว้ที่รูปปั้นช้างสามเศียรตัวนี้กันอย่างมากมาย น.ส.อภิสรา กาญจนเสถียร เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ กล่าวว่า ทุกวันจะมีผู้คนจำนวนมากเดินทางมากราบไหว้ช้างสามเศียร บนบานขอให้มีโชคมีลาภหรือรํ่ารวยจากการค้าขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใกล้วันหวยออกจะมีคนมามากกว่าวันปรกติ เพราะมีข่าวว่ามีชาวบ้านหลายรายที่มากราบไหว้ช้างสามเศียรต่างประสบความสำเร็จและโชคดี พิพิธภัณฑ์ไม่มีสิทธิไปห้ามปรามหรือพูดให้คนเหล่านั้นเลิกเชื่อถือ คงต้องปล่อยเลยตามเลย ส่วนเรื่องความสะอาดได้จัดเจ้าหน้าที่เก็บกวาดขยะอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะพวงมาลัยดอกไม้สดต้องเก็บใส่กระสอบทิ้งทุกวัน วันละ 5-6 กระสอบ

นายรักชาติ ศรีจันทร์เคณ ประติมากรผู้รับงานก่อสร้างชิ้นนี้ กล่าวว่า ได้สร้างช้างสามเศียรตัวนี้มา เป็นเวลาประมาณ 4 ปีแล้ว คาดว่าอีก 2 ปีคงแล้วเสร็จ ส่วนเรื่องที่มีข่าวรํ่าลือกันว่าช้างดังกล่าวมีความศักดิ์สิทธิ์ และให้โชคแก่ผู้ที่ผ่านไปมาหรือมากราบไหว้บูชา ตนเคยประสบมาเหมือนกัน เพราะเคยถูกหวย 7 งวดติดต่อ กันในช่วงที่เริ่มสร้างรูปปั้นช้าง โดยส่วนตัวมีความเชื่อเรื่องนี้อยู่เป็นทุนเดิมแล้ว เพราะนับถือศาสนาพุทธและพราหมณ์ ช่วงแรกที่จะก่อสร้าง ได้ประกอบพิธีบูชาครูตามศาสนาพราหมณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งคือทุกวันนี้ ยังไม่เคยมีคนงานเสียชีวิต หรือประสบอุบัติเหตุจากการก่อสร้างเลย และทุกวันพฤหัสบดี จะทำพิธีไหว้ครูเพื่อความเป็นสิริมงคล


 วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า คดีของนายกิตติ ปภัสโรบล หรือ "กู้ 18 มงกุฎ" ว่า หลังจากนายกิตติ ซึ่งถูกควบคุมอยู่ที่ ผ.4 กก. 2 ป. ตัดสินใจหันกลับมาแฉพฤติกรรมของ พ.อ.นพ.พงศักดิ์ หมอนักพูด ซึ่งจับมือ อดีตลูกสมุนร่วมแก๊งเดินสายพูดไปตามที่ต่างๆ วานนี้ (28 พ.ค.) นายกิตติได้สัมภาษณ์กรณีเปรตที่ป่าคำชะโนดอีกครั้ง โดยยืนยันว่า ขอให้การเรื่องนี้ในชั้นศาล หรือถ้าประกันตัวได้ก็จะขอแฉให้หมดเลยว่ามีใครบ้าง ที่ไม่ยอมบอกตอนนี้ เพราะตกอยู่ในสภาพที่เป็นรอง หากพูดตอนนี้ อาจก็ถูกแจ้งข้อหาหมิ่นประมาท ทั้งนี้ยอมรับว่าเป็นการจัดฉากขึ้นทั้งหมด รวมทั้งกรณีเรื่องเปรตที่คำชะโนด เสียใจมาก เพราะเป็นเรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนสุดท้ายต้องมาเป็นคนลวงโลก เนื่องจาก หมอพงศักดิ์ต้องการมาบันทึกเทปวีดิโอ เพื่อมาสอนธรรมะ แต่ตนกลายเป็นคนผิดเพียงผู้เดียว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พ.อ.นพ.พงศักดิ์ และนายไชยณ พล อัครศุภเศรษฐ์ นับถือตนมากและกำลังเตรียมจะตั้งมูลนิธิให้ด้วยซ้ำ แต่ตนเบรกไว้ก่อนเพราะไม่อยากวุ่นวาย ขอถามว่า พ.อ.นพ.พงศักดิ์ รู้เรื่องตั้งแต่แรกว่าถูกหลอกแล้วเอาวีดิโอไปเผยแพร่ทำไม ตนไม่อยากจะพูดตรงนี้ว่าถูกว่าจ้างให้ทำวีดิโอผีเปรต แต่จะนำเรื่องนี้ไปแฉในศาลอย่างแน่นอน

ด้าน จ.สุราษฎร์ธานี หลังจากที่ พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล สว.ผ.4 กก.(ป.) เดินทางมาสอบปากคำผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเพื่อหาข้อมูลข้อเท็จจริงของนายกิตติ ที่ทีแรกมีกว่าสิบราย แต่พอถึงเวลากลับไม่มีใครกล้าออกมาเปิดโปงความชั่วร้ายของจอมตุ๋นรายนี้ เพราะเกรงว่า จะทำให้ครอบครัวเดือดร้อน และมีผลกระทบต่อธุรกิจการงาน

พ.ต.ท.ประวุธ กล่าวว่า ขณะนี้สอบปากคำพยานทั้งหมด 4 ปากแล้ว เชื่อหลักฐานมัดพอส่งฟ้องได้แน่ พร้อมกันนี้ ได้สอบปากคำชาวบ้านที่รู้เห็นเกี่ยวกับคดีของ นางฉวีวรรณ โกสิยพันธ์ และพระครูวิสุทธิ์วุฒิคุณ เจ้าอาวาสวัดเขาแก้ว ต.ท่าทองใหม่ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ในกรณีที่มีพยานบอกว่านายกู้ได้เข้ามาทำพิธีในวัดเขาแก้วดังกล่าว พบว่า นอกจากนายกู้จะเข้ามาทอดผ้าป่าแล้ว ก็ได้เข้ามาในวัดตอนกลางคืนอีกหลายครั้ง เมื่อปี 2540 เห็นนายกู้มาในเพศฆราวาส แต่ภายหลังนุ่งห่มจีวรเหลืองเหมือนพระ ซึ่งจุดนี้จะต้องพิสูจน์เพราะว่าจากหลักฐานที่ได้ไปพิสูจน์ที่วัดเขมาภิรตาราม จ.นนทบุรี ปรากฏว่าพบหลักฐานการบวชในเดือน มี.ค. 2539 และหลังจากนั้นช่วงต้นปี 2540 นายกู้ก็ได้ปรากฏตัวที่ จ.สุราษฎร์ธานีในรูปของฆราวาสแล้วกลับมาแต่งกายเป็นพระอีกครั้ง ซึ่งได้ขอความเห็นจากเจ้าอาวาส นายกู้ไม่น่าจะเป็นพระได้อีกในตอนนั้น ซึ่งทำให้ตอนนี้ตั้งข้อหาเพิ่มกับนายกู้อีก 1 ข้อคือ มีการแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์


  วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

หลังจากตำรวจกองปราบปรามร้องขอต่อศาลในการควบคุมตัวนายกิตติ หรือกู้ ปภัสโรบล หัวโจกขบวนการเปรตลวงโลก ต่อไปอีก 6 วัน โดยนำตัวมาขังไว้ที่ห้องขัง ผ.4 กก.2 ป. นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกันจากการเข้าไปสังเกตความเป็นอยู่ของนายกิตติ ในห้องขัง พบว่านายกิตติใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการอ่านหนังสือเพื่อแก้เครียด ซึ่งเมื่อเห็นผู้สื่อข่าว นายกิตติก็เปิดปากเล่าผ่านลูกกรงถึงความสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะ พ.อ.นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา หมอนักพูดที่จู่ๆ กลับลำเกือบจะเรียกว่า 360 องศา หันมาผสมโรงแฉนายกิตติ รวมทั้งนายภูวนาท พรานมนัส อดีตสมาชิกร่วมแก๊งตุ๋นที่แตกคอกันไปแล้วว่า รู้จักกับ พ.อ.นพ.พงศักดิ์ มาประมาณ 2-3 เดือน โดยนายไชย ณ พล เป็นผู้แนะนำให้รู้จัก เพราะรู้จักกับนายไชย ณ พล มานานหลายปี สมัยยังเป็นพระธุดงค์ พร้อมกับยืนยันว่าบวชเป็นพระจริงที่วัดเขมาภิรตาราม จ.นนทบุรี เมื่อปี 2539 และเพิ่งไปสึกที่วัดธาตุทอง กทม. เมื่อ 10 กว่าวันนี้เอง โดยมีคนพาไปสึกกับท่านเจ้าคุณ จำชื่อไม่ได้ แต่คนที่พาไปสึกบอกว่าอาจารย์กู้ต้องสึกนะ ลูกศิษย์ขอร้องอย่าให้ศาสนาเสื่อมเลย คนที่พาไปสึกมีนายไชยยุทธ เป็นสถาปนิกและเจ้าของบริษัทเกี่ยวกับหินอ่อน นายเกียรติ นายเอกชัย ตอนนั้นข่าวออกมาแล้วประมาณหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งหลังจากสึกแล้วก็ไม่ได้หนี แต่ไปอยู่ที่บ้านลูกศิษย์ พอดี นายไชยยุทธ ติดต่อ พล.ต.ท.ล้วน ปานรศทิพ ผบช.ก. ว่าจะขอมอบตัว

นายกิตติยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.อ.นพ.พงศักดิ์ พานายภูวนาท พรานมนัส และ ส.ต.ต.อานนท์ พรานมนัสที่เคยร่วมแก๊ง 18 มงกุฎมาก่อน ไปออกรายการทอล์กโชว์ว่า ไม่เข้าใจว่าหมอมาโจมตีตนทำไม เพราะว่าไปด้วยกัน แล้วจะมาทับถมกัน ซึ่งไม่ขอเล่าอะไรมากไปกว่านี้ แต่จะไปเล่าในศาล อย่างไรก็ตาม นายกิตติแย้มว่า ในส่วนของวีดิโอที่ออกมาเผยแพร่นั้น ต้องไปถาม พ.อ.นพ.พงศักดิ์เพราะเอากล้องวีดิโอไปถึง 4-5 ตัว แต่จะทำอย่างไรไม่รู้ ผู้สื่อข่าวจึงถามถึงคำสัมภาษณ์ของ พ.อ.นพ.พงศักดิ์ก่อนหน้านี้ ที่ว่าไปเพื่อพิสูจน์ว่าเปรตมีจริงหรือไม่ นายกิตติก็ตอบสวนขึ้นมาว่า ใครที่มาตกอยู่ในฐานะอย่างนี้จะคิดอย่างไรก็ช่าง ในความเป็นจริง ตนจะไปแฉที่ศาล ส่วนจะว่าเขาเป็นคนดี ไม่ดี ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ ให้คิดกันเอาเอง

จากนั้นนายกิตติเล่าถึงการเข้าไปถ่ายทำวีดิโอผีเปรตที่ป่าคำชะโนดของ พ.อ.นพ.พงศักดิ์อีกว่า พ.อ.นพ. พงศักดิ์บอกว่า ทำวีดิโอเพื่อไปทำทอล์กโชว์ เพื่อจะเอาไปเป็นภาพประกอบการสอนอะไรของเขา ตนไม่ทราบ แต่ไม่เคยหลอก พ.อ.นพ.พงศักดิ์เลย ไม่เคยเอาเงินเขาด้วย ส่วนการนัดเจอกัน พอ.นพ.พงศักดิ์ไปเครื่องบิน ขณะที่ตนเป็นพระอยู่ที่อุดรธานี จำวัดอยู่ที่หนองหาน เป็นวัดป่า แต่จำชื่อไม่ได้ ผู้สื่อข่าวซักว่า คืนนั้นเรียกเปรตได้หรือไม่ นายกิตติตอบว่า ไม่ขอพูดดีกว่า ขอไปพูดที่ศาล แต่หักหลังหรือไม่หักหลังให้พิจารณาเอาเอง ตนพูดไม่ได้ เพียงแต่เขาบอกให้ทำ เพื่อจะเอาไปประกอบภาพ เพื่อให้คนรู้จักบาปบุญคุณโทษ เพื่อให้คนรู้ว่าสิ่งนี้มันมีจริง เป็นอย่างนี้ แล้วเขาก็ทำวีดิโอของเขา ซึ่งตนไม่รู้เลย ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข้อตกลงอะไรกันไหม นายกิตติกล่าวว่า ไม่มี ส่วนได้เงินเท่าไหร่นั้นขอไปให้การที่ศาลเช่นกัน "ผมเสียใจ ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริง ทำมาแล้ว เขาไม่พูดซ้ำเติมกันหรอก เป็นถึงพันเอก เป็นถึงนายแพทย์ ต้องรับความจริงบ้าง อย่ามาใส่ร้ายกัน แม้แต่ท่านด็อกเตอร์สุวินัย ท่านยังดี ถ้าคนรักกันจริง นับถือกันจริง เขาไม่หักหลังกันหรอก"


วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับ นายกิตติ ปภัสโรบล หรือ "กู้" หัวโจกขบวนการเปรตลวงโลกว่า ร.ต.อ.ยุทธ กล่ำกล่อมจิตร พนักงานสอบสวน (สบ.2) ผ.4 กก.2 ป. เบิกตัวนายกิตติออกจากห้องควบคุม พาไปยังศาลแขวงพระนครเหนือ เพื่อยื่นคำร้องผัดฟ้องฝากขัง ครั้งที่ 1 เพราะมีผู้เสียหาย ทยอยเข้าแจ้งความอีกหลายราย ประกอบกับผู้ต้องหาข่มขู่ผู้เสียหาย ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น โดยจะต้องสอบสวนพยานอีก 6 ปาก รอผลการพิมพ์มือผู้ต้องหา และรวบรวมพยานหลักฐานอื่นๆ จึงขออนุญาตให้ผัดฟ้อง ฝากขังผู้ต้องหานี้มีกำหนด 6 วัน นับแต่วันที่ 26 พ.ค. 2543 ถึงวันที่ 31 พ.ค. 2543 ซึ่งศาลพิจารณาคำร้องแล้ว มีคำสั่งอนุมัติตามคำร้องขอ ของพนักงานสอบสวน ให้ตำรวจนำตัวนายกิตติ กลับมาควบคุมไว้ที่กองปราบปรามตามเดิม

นายกิตติ ให้สัมภาษณ์ถึงนายภูวนาท พานมนัส ที่ออกมาแฉพฤติกรรม การหลอกลวงคนของตนว่า ก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ เพราะเคยอาศัยบ้านเขามาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งโตและทำงานร่วมกัน ซึ่งตนถ่ายทอดวิชาให้เขาทุกอย่าง เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่ 7 ปีอย่างที่เขาบอก ส่วนเรื่องที่ผิดใจกัน ก็มาจากเรื่องเงิน 1 ล้านบาท จึงแตกคอและเลิกร่วมงานด้วย ส่วนเรื่องการเสกของเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้แก้ตัวยืนยันว่าทำได้ แต่ไม่มีสมาธิจึงทำไม่ได้ เรื่องเปรตนั้นเชื่อว่ามีจริง เพราะเคยสัมผัสมาแล้ว ซึ่งถ้าหากพ้นโทษออกมา จะพาสื่อมวลชนไปพิสูจน์ ข้อเท็จจริงด้วยกัน

ด้าน พ.อ.นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา หมอนักพูดที่เคยร่วมคณะของนายกิตติ หรือเปรตกู้ ไปพิสูจน์ผีเปรตที่ป่าคำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า อยากเรียกร้องให้นายไชย ณ พล ผู้ประสานงานให้รู้จักกับนายกิตติ เปิดเผยตัวออกมาชี้แจงกับประชาชน รวมทั้งให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นการด่วน สำหรับนายไชย ณ พล นั้นหลังจากเกิดเรื่องก็ไม่สามารถติดต่อได้ รวมทั้งก็ไม่ได้ติดต่อกลับมา โดยก่อนหน้านี้นายไชย ณ พล บอกว่า จะเข้าป่าแถบจังหวัดเชียงใหม่เพื่อปฏิบัติสมาธินาน 32 วัน

ขณะเดียวกันในวันที่ 27 พ.ค.นี้เหยื่อของอาจารย์กู้ใน จ.สุราษฎร์ธานี จะรวมตัวกันแฉพฤติกรรมลวงโลกของอาจารย์กู้ โดยทุกคนมีหลักฐานที่จะมาแสดงให้ดู และจะมีเหยื่อรายใหญ่ที่ถูกหลอกเงินนับหลายล้านบาท ออกมาร่วมวงแฉในคราวเดียวกันนี้ พร้อมจะนำวีดิโอที่ถ่ายทำไว้ในการทำพิธีมาให้ดู และมอบเป็นหลักฐานให้กับ พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล ผกก. (ป) ซึ่งจะเดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยตัวเองด้วย


วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2543
พิสูจน์ชัด เปรตกู้ สิ้นหนทางลวงโลก!

หลังจากอิสรภาพของ นายกิตติ ปภัสโรบล หรือกู้ 18 มงกุฎ หัวหน้าขบวนการผีเปรต นักต้มตุ๋นระดับชาติ ที่ใช้วิชาลวงโลกหากินเลี้ยงชีพมาถึง 30 ปี จบสิ้นลงเมื่อเวลา 22.30 น. วันที่ 24 พ.ค. เมื่อตำรวจกองปราบปรามจับตัวได้ที่ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก ย่านห้วยขวาง ขณะเดินลงจากบันไดโรงแรม ต่อมาเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่25 พ.ค. พล.ต.ท.ล้วน ปานรศทิพ ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.คงเดช ชูศรี ผช.ผบช.ก. ได้เดินทางมาถึงห้องประชุมกองปราบฯ เพื่อพิสูจน์ว่า จะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไรให้ดูได้บ้าง หลังจากนั้นนายกิตติ ได้ตกลงที่จะแสดงพิธีกรรม โดยให้ พล.ต.ต.คงเดชกำก้อนดินไว้ในมืออ้างว่า จะเสกให้เป็นทองคำ ซึ่งผู้สื่อข่าวได้รายงาน การทำพิธีกรรมของนายกิตติว่า หัวหน้าแก๊งเปรตได้เปลี่ยนชุดมาเป็นนุ่งผ้าขาว ทำท่าทางใบหน้าขึงขังจริงจัง จากนั้น นายกิตติยังได้วาดลีลา ขอให้ตำรวจนำกรอบรูปพระ ขนาดใหญ่สูงเกือบเท่าคนมาตั้งไว้ในห้อง และให้นำเทียนจำนวน 7 เล่ม ธูป 58 ดอก มาให้ พร้อมขอให้ผู้ที่อยู่ในห้องทั้งหมด ปิดอุปกรณ์สื่อสาร และไม่ให้ช่างภาพใช้แฟลชในการถ่ายรูป หรือกดชัตเตอร์ อ้างว่าจะทำให้สมาธิของนายกิตติเสีย จากนั้นนายกิตติก็เริ่มร่ายเสียงสวด ที่ไม่เป็นภาษามนุษย์ โดยมีนายสุวินัยนั่งคุกเข่ายกมือซ้ายขึ้นแค่อก ส่วนมือขวาดีดไปที่มือซ้ายเป็นระยะ ฟังอยู่ข้างๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบกริบ

นายกิตติได้นั่งลงกับพื้นพร้อมจุดธูป 58 ดอกกำไว้ในมือ แล้วนายกิตติได้เริ่มสวดมนต์ซึ่งฟังไม่เป็นภาษา พร้อมทั้งใช้ธูปทั้งกำที่ติดไฟปักไปที่ฝ่ามือ แต่ตำรวจที่สังเกตอย่างใกล้ชิด และบันทึกภาพวีดิโอไว้ตลอด พบว่านายกิตติเอาธูปส่วนที่ไม่ติดไฟนั้น จี้ไปที่ฝ่ามือจึงทำให้ไม่ร้อน ส่วนปากก็พร่ำบทสวดแบบงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ จู่ๆ ก็ขอพัก อ้างว่าไม่มีสมาธิและขอน้ำ 1 แก้วมาดื่ม ต่อมานายกิตติได้สั่งให้เอาธูปมาใหม่อีก 58 ดอก พร้อมเริ่มทำพิธีกรรมอีกเป็นครั้งที่ 2 โดยเจ้าหน้าที่ได้ สั่งให้ทุกคนมานั่งอยู่หลังนายกิตติ เพื่อให้นายกิตติแสดงพิธีกรรมได้สะดวก แล้วก็เริ่มนั่งพับเพียบทำทีเป็นบริกรรมคาถา โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำกล้องวีดิโอมา บันทึกภาพอย่างใกล้ชิด คราวนี้นายกิตติได้จุดไฟธูปลุกท่วมทั้งกำมือ ก่อนจะปักธูปที่ติดไฟลงไปในแจกันทองเหลืองอีกครั้ง แต่คราวนี้นายสุวินัยได้กล่าวให้นายกิตติทำต่อไป เพื่อพิสูจน์ความจริง ทว่า นายกิตติก็ยังใช้เล่ห์เหลี่ยมอ้างว่า ต้องการความสงบอีก แล้วก็เริ่มสวดมนต์แบบเดิมๆ พร้อมใช้ธูปจี้ฝ่ามือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันใดนั้นนายกิตติได้ลุกขึ้นเดินไปหา พล.ต.ต.คงเดชที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้านายกิตติ โดยในมือยังกำดินอยู่ แล้วนายกิตติก็ทำทีเข้าไปยืนสวดใกล้ๆ แล้วทำท่าจะขว้างของในมือซ้ายไปที่ พล.ต.ต.คงเดชที่ยื่นมือมาหานายกิตติ ทว่า นายกิตติก็ขอพัก อ้างว่าทำไม่ได้ เพราะไม่มีสมาธิ แล้วขอน้ำกิน จากนั้นก็เริ่มเล่นแง่ ไล่ผู้สื่อข่าวทั้งหมดออกไป ให้เหลือแต่ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งที่อ้างว่า เป็นคนแนะนำให้มอบตัว แต่ พล.ต.ท.ล้วนไม่ยอม นายกิตติจึงต้องทำพิธีเป็นครั้งที่ 3 ต่อ แต่คราวนี้เปลี่ยนที่นั่ง โดยย้ายไปนั่งพับเพียบที่ใกล้กรอบรูปพระ พร้อมกับขอผ้าดำจากนายสุวินัย ที่ลดตัวมาเป็นลูกมือนายกิตติ เอามาพาดบ่าข้างซ้าย และขอเพิ่มธูปเป็น 108 ดอก แล้วจุดไฟลุกโชน แต่ไม่ยอมปักที่ฝ่ามือ ซึ่งตอนนี้ มีนายตำรวจแกล้งเข้าไปจับมือนายกิตติ พบว่าฝ่ามือพองจนนายกิตติต้องถูมือไปมา เพื่อบรรเทาความปวดแสบปวดร้อนจากพิษไฟ ก่อนที่จะปักธูปลงไปในแจกันทองเหลือง แต่ปากก็ยังพึมพำสวดมนต์ไม่ได้ศัพท์ แล้วมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าพล.ต.ต.คงเดช ชูมือข้างซ้ายขึ้น ส่วนมือขวาตั้งไว้แค่อก

นายกิตติที่ยังพยายามตะแบงอวดอ้างว่า มีอิทธิฤทธิ์ ได้หยุดทำพิธี อ้างว่าธูปเกินจำนวน พล.ต.ท.ล้วนจึงสั่ง ให้นับ ปรากฏว่า มีธูปถึง 122 ดอก เจ้าหน้าที่จึงให้นายสุวินัยเป็นคนนับให้ได้ 108 ดอก แล้วการทำพิธีครั้งที่ 4 ก็ได้เริ่มขึ้น ขณะที่เวลาล่วงเลยไปจนถึง 12.25 น. แล้ว คราวนี้นายกิตติเอาผ้าดำมาคลุมเป็นจีวร นั่งพับเพียบกำธูป 108 ดอก ที่จุดไฟควันโขมง แล้วก็พยายามหาข้ออ้างไม่ทำพิธี จน พล.ต.ท.ล้วนได้สั่งให้หยุดการทำพิธีกรรม เพราะเวลาล่วงเลยไปมากแล้ว ปรากฏว่านายกิตติ หรือกู้ แก๊งเปรต ถึงกับหน้าซีดนั่งเกาหัวแกรก จากนั้นเจ้าหน้าที่ ได้นำตัวนายกิตติไปบันทึกการแจ้งข้อหา วันเดียวกัน สำนักข่าวเอเอฟพีได้เผยแพร่ข่าวไปทั่วโลก ถึงเรื่องที่ตำรวจสามารถรวบตัวนายกิตติ ปภัสโรบล หรือนายกู้ นักตุ๋นสร้างเรื่องผีเปรตหลอกลวงชาวบ้าน จากการทำวีดิโอแพร่ภาพผีเปรต ซึ่งภายหลัง ได้มีการเผยแพร่วีดิโอเทปออกไป ประชาชนจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปยัง จ.อุดรธานี เพื่อพิสูจน์ความจริง แต่แม้จะถูกจับได้คาหนังคาเขา ว่าเรื่องทั้งหมดมีการจัดฉากอยู่เบื้องหลัง ทว่านายกิตติก็ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยคงยืนกรานว่า ตนเองสามารถติดต่อกับผีได้จริง


วันพฤหัส์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

กองปราบบุกรวบ กู้จนมุม คาเจ้าพระยาปาร์ค

ในที่สุดจอมตุ๋นระดับชาติ "กู้ แก๊งผีเปรต" ก็จนมุม เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามแล้ว หลังจากที่กบดานซ่อนตัว อยู่ในโรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก ห่างจากกองปราบฯ เพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตร โดยนาทีการจับกุมนายกิตติ ปภัสโรบล หรือกู้ 18 มงกุฎ มีขึ้นเมื่อเวลา 22.30 น. วันที่ 24 พ.ค. ภายหลังที่ พ.ต.ท.ชัยฑัต บุญขำ รอง ผกก. 2 ป. พ.ต.ท.เชน กาญจนปัจจ์ รอง ผกก. 1 ป. พ.ต.ต.ชัชวาลย์ บุญมี สว.ช่วยราชการ กก. 2 ป. นำกำลังตำรวจ 10 นาย ไปซุ่มอยู่ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ครู่ใหญ่ นายกิตติซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงขายาวสีดำ สวมหมวกแก๊ปสีขาว เดินลงมาจาก โรงแรมดังกล่าว โดยมีชายฉกรรจ์สวมชุดซาฟารี 3 คน เดินล้อมหน้าล้อมหลังคุ้มกัน เมื่อแน่ใจว่าใช่นายกิตติ หัวหน้าแก๊งผีเปรตอย่างแน่นอนแล้ว พ.ต.ท.เชน กับพวกก็ได้กรูเข้าล็อกตัวนายกิตติทันที ปรากฏว่า ชายฉกรรจ์ที่สวมชุดซาฟารีทั้ง 3 คน ได้แสดงท่าทางฮึดฮัดจะต่อสู้ แต่เมื่อทราบว่า เป็นตำรวจก็รีบถอยฉากออกไป ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายกิตติขึ้นรถ เดินทางมุ่งหน้ามายังกองปราบฯ อย่างรวดเร็ว

สำหรับเบื้องหลังการจับตัวนายกิตติ "กู้ 18 มงกุฎ" หลังจากที่หลบหนีเงื้อมมือตำรวจมาเป็นเวลาหลายวันนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ ซึ่งได้กระจายกำลังกันวางสายสืบหาแหล่งที่ซ่อนตัวโดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเข้าช่วย กระทั่งตอนสายวันที่ 24 พ.ค. ตำรวจได้รับรายงานว่านายกิตติซึ่งได้ไปหลบอยู่ที่บ้านลูกศิษย์ ที่เป็นทหารยศพลเอกคนหนึ่ง ย่านบางขุนพรหม ได้ติดต่อกับลูกศิษย์ อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นทหารเช่นกัน ให้มาพบที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์คในเวลาค่ำเพื่อปรึกษาหารือถึงเรื่องคดีจึงได้วางกำลังอีกสายมาเฝ้าที่โรงแรม จนนายกิตติเดินทางมาถึงและได้เข้าไปนั่งคุยกับลูกศิษย์จำนวน 4 คน ที่ห้องอาหารบริเวณชั้นล่างของโรงแรม เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตามไปนั่งประกบที่โต๊ะข้างๆ และได้ยินนายกิตติคุยปรึกษากับลูกศิษย์ถึงเรื่องจะเข้ามอบตัว ปรากฏว่าลูกศิษย์ที่เป็นทหารคนหนึ่งที่ยังงมโข่งและเชื่อในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของนายกิตติ ได้กล่าวว่า หากถูกตำรวจจับกุม ให้นายกิตติเสกก้อนหินให้ร้อนยัดใส่มือตำรวจจะได้จับกุมไม่ได้ หลังคุยกันครู่ใหญ่นายกิตติก็สั่งเช็กบิลแล้วเดินออกมาจากห้องอาหาร โดยมีชายในชุดซาฟารี 3 คนคุ้มกัน จนถูกตำรวจจับกุมดังกล่าว

ต่อมาเวลา 23.30 น. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผกก.2ป. เดินทางไปถึง และได้นำตัวนายกิตติออกจากห้องที่ถูกควบคุมตัวชั้นล่าง ฝ่ายอำนวยการ กองปราบฯ ขึ้นไปยังห้องสอบสวนของ กก. 2 ป. ที่อยู่ชั้น 2 ซึ่งมีพนักงานสอบสวนนั่งรายล้อมเป็นรูปตัว "ยู" โดยนายกิตติถูกจัดให้นั่งอยู่กลางวง จากนั้นพนักงานสอบสวนจึงเริ่มสอบปากคำ โดยเชิญบรรดาผู้สื่อข่าว และช่างภาพออกไปนอกห้อง ระหว่างนั้น พ.ต.อ.ทวี กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ในตอนเช้าวันที่ 25 พ.ค. พล.ต.ท.ล้วน จะเป็นผู้แถลงข่าว และไขข้อสงสัยในมายากลต่างๆ ของนายกิตติด้วยตัวเอง


วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

เบนซ์ พรชิตากรี๊ด รูปคู่เปรต มท. ออกหมายล่า

ตำรวจกองปราบฯ ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในการดำเนินคดี กับหัวหน้าแก๊งเปรต นายกิตติ ปภัสโรบล หรือกู้ 18 มงกุฎ โดยเมื่อเช้าวันที่23 พ.ค. พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง ผบก.ป. เปิดเผยว่า ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงมหาดไทยเรียบร้อยแล้วในเรื่องหมายจับกุม ซึ่งกองปราบฯได้ส่งชุดติดตามออกเป็นหลายชุด มีการเฝ้าจุดจากบ้าน ตามบ้านญาติ หรือบ้านลูกศิษย์ลูกหาที่ยังเคารพศรัทธา หรือนับถือนายกู้อยู่ คิดว่าน่าจะต้องออกมามอบตัว เพราะข้อหาไม่ได้หนักหนามากมายอะไรนัก ในจำนวนหลักฐานที่ตำรวจยึดมาได้จากร้านคาราโอเกะ 1 สาว ย่านวังหินของเมียนายกิตตินั้น นอกจาก จะพบอุปกรณ์ในการต้มตุ๋นต่างๆ แล้วยังพบภาพถ่ายสำคัญ ที่นายกิตติถ่ายรูปกับคนดังในชุดฆราวาสจำนวนมาก อาทิ ภาพถ่ายคู่กับนายจองชัย เที่ยงธรรม ด้วยท่าทางยืนพูดคุยกันอย่างสนิทสนม และภาพถ่ายกับ ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ อดีต ส.ส.ราชบุรี ภาพถ่ายคู่กับดาราสาว เบ๊นซ์-พรชิตา ณ สงขลา รวมถึงภาพถ่ายกับอดีตผู้บัญชาการกองทัพอากาศซึ่งเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด คือ พล.อ.อ.วรนาถ อภิจารี โดยนายกิตติจะอัดกรอบวิทยาศาสตร์ตั้งโชว์ไว้เพื่อเพิ่มความขลังให้แก่ตนเอ งและเพื่อหลอกให้เหยื่อตายใจว่า นายกิตติเป็นคนมีบารมี ผู้หลักผู้ใหญ่นับหน้าถือตามากมาย รวมถึงภาพถ่ายนายกิตติ ในชุดข้าราชการพลเรือนที่ถ่ายคู่กับหญิงสาวคนหนึ่ง

สำหรับการติดตามจับกุม นายกิตติ หรืออาจารย์กู้ แก๊งเปรตนั้นผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.อัศวิน สั่งให้ชุดสืบสวนจัดชุดเข้าบล็อกยังจุดที่เชื่อว่านายกิตติ ยังคงกบดานอยู่ในกรุงเทพฯ โดยจากการติดตามความเคลื่อนไหวทางเทคนิคของตำรวจกองปราบฯพบว่า นายกิตติมีการ เคลื่อนไหวย้ายจุดที่อยู่วันละประมาณ 4-5 กม. วนเวียนไปตามแหล่งต่างๆ ซึ่งคาดว่าถ้าไม่ใช่บ้านของลูกศิษย์ คนใดคนหนึ่ง ด้านเบนซ์-พรชิตา เผยว่าไม่เคยรู้จักกับนายกิตติหรือกู้ 18 มงกุฎ เลย แต่จำไม่ได้ว่าไปถ่ายกับนายกิตติตั้งแต่เมื่อไหร่และที่ไหน อาจเป็นไปได้ที่เขามาเจอเบนซ์ตามงานต่างๆ แล้วมาขอถ่ายรูปด้วย ปรกติใครมาถ่ายรูปด้วยเบนซ์ก็ให้ถ่ายแม้คนนั้นจะไม่รู้จักก็ตาม เพราะถือว่าเขาคือแฟนละคร ทั้งประเทศ ใครมีรูปคู่กับเบนซ์ได้ ถ้ามาเจอตัวกัน เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่า เมื่อเขาถ่ายรูปกับเรา แล้วเขาจะเอารูปไปทำอะไรหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ให้ถ่าย แฟนละครก็จะกล่าวหาว่าหยิ่งอีก ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเหมือนกัน แต่ขอว่าอย่าเข้าใจผิดเบนซ์ก็แล้วกัน


วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

ตำรวจบุกทลาย รังลามก กู้หน.แก๊งเปรต

เมื่อเวลา 17.45 น. วันที่ 22 พ.ค. โดย ตำรวจจำนวนหนึ่งเข้าตรวจค้น ร้านคาราโอเกะชื่อ 1 สาว ของนายกิตติ ปภัสโรบล หัวหน้าแก๊งเปรต ซึ่งเป็นตึกแถว 4 ชั้น อยู่เลขที่ 4/74 สี่แยกวังหิน ถนนลาดปลาเค้า ปัจจุบันปิดกิจการไปแล้ว พบว่าบริเวณชั้น 1 มีสุ่มไก่กองสุมทับกันจำนวนมาก และเหม็นกลิ่นขี้ไก่ที่ตลบอบอวลทั่วห้อง ที่ข้างฝาผนังมีตู้เย็นแช่ของ ภายในตู้มีหอยดอง ส่งกลิ่นเหม็นเน่าหึ่ง และมีตุ๊กแกเลี้ยงอยู่ในกรงลวด 3 ตัว ส่วนที่ฝาผนังมีรูปปั้นฤาษีตั้งอยู่บนหิ้ง

ส่วนที่ชั้น 2 ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นห้องพักอาศัย เจ้าหน้าที่ได้พบรูปภาพพระพุทธรูป และรูปภาพพระสงฆ์จำนวนมาก วางเรี่ยราดอยู่กับพื้นห้อง รวมทั้งรังต่อ ที่มีการตัดแต่งให้มองดูคล้ายกับฤษีตั้งอยู่ โดยมีร่องรอยคนนำธูปเทียนกราบไหว้ทิ้งอยู่ นอกจากนี้ ยังมีมีดดาบลงยันต์ จำนวน 3 เล่ม และสมุดบัญชีธนาคารหลายเล่ม มีเงินผ่านเข้าออกในบัญชีจำนวนมาก แต่ที่ตำรวจให้ความสนใจมากที่สุด คือบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาสี่แยกวังหิน บัญชีออมทรัพย์ เจ้าของบัญชี นางชุติมา ธรรมธาราณา เลขที่บัญชี 757-2-04783-5 ซึ่งมีตัวเลขยอดคงเหลือในบัญชีครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 25-6-99 เป็นจำนวนถึง 59,504,000 บาท โดยยอดเงินดังกล่าว มีการนำฝากเข้าบัญชีเมื่อวันที่ 2-4-99 ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่า ตัวเลขดังกล่าวต้องมีการปั้นแต่งเพื่อการแหกตาขึ้น เนื่องจากเป็นตัวเลขที่ผิดไปจากเครื่องของธนาคาร และไม่มีรอยปั๊มหรือลายเซ็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแต่อย่างใด กับอีกเล่มธนาคารเดียวกัน และสาขาเดียวกัน แต่เจ้าของบัญชีชื่อนายโกวิทย์ ธรรมธาราณา เลขที่บัญชี 757-2-04041-5 มียอดเงินในบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 8-12-98 มียอดสูงถึง 59,035,010 บาท แต่เจ้าหน้าที่ก็พบพิรุธเช่นเดียวกับบัญชีนางชุติมา

ชั้นที่ 3 ซึ่งชั้นนี้ ถูกใช้เป็นห้องนอนของนายกิตติกับภรรยา โดยที่บันไดทางขึ้นชั้น 3 มีหม้อดิน 3 ใบ มีผ้าแดงคลุมอยู่ กับข้าวของวางระเกะระกะ และรูปถ่ายของนายกิตติ กับลูกหลาน และสาวกนายกิตติที่แต่งกายชุดสีแดงคล้ายเทวดา ผ้าคลุมสีดำเป็นเปรต 2 ผืนใหญ่ ชุดข้าราชการมหาดไทย มีป้ายชื่อนายกิตติติดที่หน้าอก กับหนังสือ 3 เล่ม ชื่อฝึกจิตท่ามกลางกาลเวลา ธรรมทาสธรรมชาติแห่งสรรพสิ่ง และหนังสือฤทธิ์อำนาจศาสดา รวมทั้งยังพบหนังสือโป๊ ภาพเปลือยจำนวนมาก เครื่องสุญญากาศสำหรับปั๊มอวัยวะเพศชาย 2 อัน ปลัดขิก สมุดรับแทงพนันบอล 2 เล่มใหญ่ มีรายชื่อลูกค้าจำนวนมาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับประจำวันที่ 15 พ.ค. 2543 กรอบ 6 ดาว สร้อยประคำสีดำ 2 เส้น เสื้อสูทมีเข็มตราไลออนส์ราชบุรีของนายกิตติ และเสื้อผ้าผู้หญิงอยู่ในตู้ คาดว่าเป็นของเมียนายกิตติ

นอกจากนี้ ยังพบบัตรประชาชน 2 ใบ ใบแรกเป็นชื่อนายกิตติ ปภัสโรบล ระบุว่าเกิดวันที่ 24 มี.ค. 2490 ที่อยู่เลขที่ 19 หมู่ 7 ต.หนองกลางนา อ.เมือง จ.ราชบุรี ออกเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2534 หมดอายุ 26 ก.ย. 2540 กับอีกใบ ซึ่งมีภาพถ่ายนายกิตติแต่เปลี่ยนชื่อเป็นนายกร ปภัสโรบล เกิดเมื่อวันที่ 24 มีค. 2490 ที่อยู่ เลขที่ 123/22 ถนนเพชรเกษม ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี ออกบัตรเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2542 หมดอายุวันที่ 7 มี.ค. 2548 ซุกอยู่ในตู้เสื้อผ้า กับลอตเตอรี่อีกปึกใหญ่ ส่วนที่หัวเตียงพบตู้เซฟยี่ห้อลีโก้ สูง 3 ฟุตกว้าง 2 ฟุตครึ่ง หนา 2 ฟุตครึ่ง เจ้าหน้าที่พยายามงัดเพื่อดูข้างในแต่ไม่สำเร็จ ส่วนที่ชั้น 4 เจ้าหน้าที่พบเสื้อผ้ากองทิ้งไว้ในตู้กับที่พื้นห้อง กับหนังสือโป๊อีกหลายเล่มทิ้งเรี่ยราดอยู่เช่นกัน

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ขึ้นไปที่ดาดฟ้าของอาคารดังกล่าว พบหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ชี้ชัดและมัดตัวให้นายกิตติดิ้นไม่หลุด จากข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ และฉ้อโกงต้มตุ๋นประชาชน คือ จีวรพระ ทั้งสีเหลืองและสีเขียวหลายผืน ตากอยู่ที่ราวพาดผ้า กับรัดประคดอีก 2 เส้น ผ้าแดงที่ใช้โพกหัว 2 ผืน และหม้อดินคลุมผ้ายันต์อีก 2 ใบ ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจค้นอยู่นั้น ได้มีเสียงโทรศัพท์ซึ่งอยู่ที่ชั้น 1 ดังขึ้น เมื่อรับสายปรากฏว่า ผู้พูดเข้ามาคือ นายบู๋ ลูกชายนายกิตติ ที่แสดงเป็นเปรตปลอม และเมื่อทราบว่าตำรวจเป็นผู้รับสายก็วางหูไปทันที ตำรวจเปิดเผยว่า เมื่อช่วงดึกของคืนวันที่21 พ.ค. ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามหาตัวนายกู้ทั่วทั้งกรุงเทพฯ ตามที่คิดว่านายกิตติ หรือกู้ พระเก๊ใช้เป็นแหล่งกบดานถึง 5 สถานที่ด้วยกัน ซึ่งแต่ละสถานที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า อยู่ที่ไหนบ้าง และเป็นบ้านของใครบ้าง เพราะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง และมีหน้าที่การงานใหญ่โต ในวงราชการแทบทั้งสิ้น แต่ยังไม่พบแม้แต่เงาของนายกิตติ ส่วนในช่วงบ่ายของวันที่ 22 พ.ค. จะนำสำนวน และเอกสารเดินทางไปที่กระทรวงมหาดไทย เพื่อขออนุมัติออกหมายจับนายกู้ต่อไป


วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

อจ.มธ.หน้ามืด อุ้มเปรตกู้ ถ้าต้มตุ๋น-ออก

หลังจากที่ "ไทยรัฐ" เปิดโปงขบวนการต้มตุ๋นที่นำโดยนายกิตติ หรือกันเต หรือกร หรือกู้ ปภัสโรบล ลักลอบเข้าไปในป่าคำชะโนด อ.บ้างดุง จ.อุดรธานี แล้วจัดฉากถ่ายทำวีดิโอผีเปรตออกมาหลอกชาวพุทธ แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่เว้น จนเป็นที่ฮือฮาไปทั่ว และทำให้คนที่เคยตกเป็นเหยื่อนายกู้ หรือ "พระกู้" หัวโจกขบวนเปรตลวงโลก หลอกจนเสียทรัพย์ ต่างออกมาให้ทั้งข้อมูลและหลักฐานที่มัดชัดว่า "พระกู้" ผู้นี้มีพฤติกรรมเข้าข่าย "18 มงกุฎ" ตัวยงซึ่งตำรวจรวบรวมหลักฐานได้มากพอเตรียมลากคอนายกู้และพวกมาดำเนินคดีตามกฎหมายเพื่อกำจัดเสี้ยนหนามสังคมแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองปราบปราม เวลา 10.00 น. พ.อ.นพ. พงศักดิ์ ตั้งคณา "หมอนักพูดชื่อดัง" เดินทางพร้อมผู้ติดตาม 1 คน นำกล้องถ่ายวีดิโอ ยี่ห้อโซนี่ ม้วนเทปวีดิโอขนาด 8 มม. จำนวนมาก และกระเป๋าเอกสาร 1 ใบเข้าพบ พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์ศรีนิล สว.ผ.4 กก.2 ป. กระทั่งเวลาประมาณ 12.20 น. หมอนักพูดจึงออกมาจากห้องแล้วให้สัมภาษณ์ว่า มีผู้สื่อข่าวทราบว่าตนถ่ายภาพผีเปรตได้ ก็พยายามติดต่อขอข้อมูลต่างๆ ซึ่งบอกไปว่าภาพที่ถ่ายได้ยังไม่ชัดเจน แต่ปรากฏว่าเช้าวันรุ่งขึ้นก็กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งทางหนังสือพิมพ์ไปแล้ว ข่าวที่ออกมาสร้างความเสียหายให้แก่ตนเป็นอย่างมาก โดยกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมกับแก๊ง 18 มงกุฎด้วย ทั้งๆที่ตนเป็นวิทยากรบรรยาย สอนธรรมะแก่เยาวชน เมื่อข่าวออกมาเช่นนี้ทำให้เยาวชนอาจจะมองว่าเป็นคนที่ไม่ดีได้ ดังนั้น ขอย้ำว่า เรื่องการถ่ายทำ 2 ครั้งนั้น ตนเริ่มจับได้ว่ามีการหลอกลวงจริง พยายามประสานไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 เพื่อเดินทางไปยังที่เกิดเหตุที่มีการถ่ายทำ เพื่อจับกุมแก๊งลวงโลก แต่ข่าวก็ออกทางหน้าหนังสือพิมพ์เสียก่อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การพูดคุยกันระหว่าง พ.อ.นพ. พงศักดิ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ เสร็จสิ้นในเวลา 14.00 น. แล้วทั้งหมดแยกย้ายกันออกจากกองปราบปรามไปทันที โดย พ.อ.นพ.พงศักดิ์ปรี่ไปขึ้นรถกับชุดสืบสวนของ พ.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง รอง ผกก.2 ป. และ ร.ต.อ.สุริยา สิงหโกมล เพื่อไปตรวจสอบจุดที่ นายกิตติ หรือ "กู้ 18 มงกุฎ" หนีไปกบดานอยู่ย่านโชคชัย 4 อย่างไรก็ตาม ระหว่างรอขึ้นรถ พ.อ.นพ.พงศักดิ์เผยกับผู้สื่อข่าวอีกว่า มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการหลอกลวง ซึ่งยังไม่ สามารถเปิดเผยรายละเอียดอะไรได้มากกว่านี้ ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการเข้าไปพิสูจน์ขบวนการผีเปรตที่ จ.อุดรธานี พบเห็นอะไรบ้าง หมอนักพูดกล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่รู้จักกับนายกิตติ หรืออาจารย์กู้ แต่มีคนกลางติดต่อมา จึงเดินทางไปพิสูจน์ ก็เจอ 2 ครั้ง แต่ไม่ได้ปักใจเชื่อ ซึ่งกระบวนการการพิสูจน์ของตนยังไม่ทันจบ ก็มีข่าวออกมาทางหนังสือพิมพ์เสียก่อน

ด้านนายสุวินัย ภรณวลัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีที่ ออกมาปกป้องนายกิตติ หรือพระกู้ว่า ท่านเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า เกิดมาในหมู่ของกลุ่ม 18 มงกุฎ จึงทำให้รู้ซึ้งถึงกลอุบายอย่างดี แต่ที่ปรากฏมา ทั้งหมดน่าจะเป็นเพราะพระกู้ถูกแก๊ง 18 มงกุฎ บังคับให้ทำ แต่ระยะหลังนี้เลิกแล้วไปฝึกวิชาอยู่ในป่าลึกจนสำเร็จวิชาชั้นสูง ดังนั้น จึงมั่นใจว่าที่เห็นไม่ใช่การจัดฉากแน่นอน อย่างไรก็ตามตนเป็นคนขอร้องให้พระอาจารย์กู้ งดการออกมาพบกับตำรวจและสื่อมวลชนเอง เพราะอยากรอให้กระแสซาลงกว่านี้ก่อน แต่หากพิสูจน์แล้วว่าเป็นการหลอกลวงจริง ตนก็คงจะต้องรับผิดชอบที่ได้ทำไป โดยจะขอใช้ ตำแหน่งเป็นประกัน จะขอลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ ธรรมศาสตร์ เพื่อเป็นการแสดงสปิริต


วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2543
แฉ "เปรตกู้" ต้มคนดังมาเพียบ

ยิ่งขุดคุ้ยยิ่งชัดเจน ในพฤติกรรมของแก๊งเปรตลวงโลก โดยเฉพาะตัวหัวโจก "นายกิตติ" หรือ "พระกู้" เพราะมีทั้งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ทยอยส่งหลักฐานมัดตัว และอดีตผู้ร่วมแก๊งที่กลับใจ ยอมแฉอดีตนายเก่า ขึ้นชั้น "18 มงกุฎ" ตัวเอ้ โดยผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ที่ผ่านมา ว่า ได้รับการติดต่อจากชายผู้หนึ่ง ซึ่งอ้างว่า เคยติดตามร่วมขบวนการกับนายกิตติ ปภัสโรบล หรือพระกู้ มาหลายปี จนรู้เช่นเห็นชาติพฤติกรรมลวงโลก ของนายกิตติชนิดหมดไส้หมดพุง และต้องการที่จะร่วมกระชากหน้ากากเพื่อไม่ให้ใครตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตามที่นัดหมายในสถานที่แห่งหนึ่งย่านหัวหมากทราบว่าที่แท้ชายคนดังกล่าวคือพี่ชายของ ส.ต.ต.อานนท์ พรานมนัส ประจำกองวิทยาการ จ.ราชบุรี ชื่อนายภูวนาท ที่ ส.ต.ต.อานนท์เอ่ยถึงขณะออกมาแฉพฤติกรรมของนายกิตติหัวหน้าขบวนการเปรตก่อนหน้านี้ ซึ่งนายภูวนาทแฉชีวิตและเส้นทางความเป็นจอมลวงโลกของนายกิตติว่า เมื่อตอนที่ยังเด็กสมัยอยู่ราชบุรี พ่อของตนซึ่งเป็นข้าราชการครู ได้นำนายกิตติมาเลี้ยง กระทั่งเป็นหนุ่มอายุประมาณ 15-16 ปี นายกิตติก็หายตัวไป

ต่อมาจู่ๆ นายกิตติก็โผล่มาบวชเณร ที่วัดบางกะ ต.หนองนา อ.เมือง จ.ราชบุรี แล้วเริ่มทำพิธีแหกตาชาวโลก ด้วยการเสกใบโพธิ์เป็นแบงก์ร้อย ร่ายมนต์เรียกจระเข้ เสกพระขึ้นมาจากแม่น้ำแม่กลอง ทำให้ผู้คนหลงเชื่อ และศรัทธามาก แต่ก็ถูก พล.ต.ต.คงเดช ชูศรี ผช.ผบช. ตอนนั้นยังมียศ ร.ต.ต. จับกุม แต่ไม่มีผู้เสียหาย จึงรอดตัว ซึ่งทำให้นายกิตติยิ่งได้ใจ สร้างศรัทธาจนชาวบ้านเชื่อว่ามีเวทมนตร์จริง ต่อมา นายกิตติก็หายตัวไปอีกครั้ง มาโผล่อีกทีก็ปรากฏเป็นข่าวบนหน้า หนังสือพิมพ์ถูก พล.ต.ต.คงเดชจับกุม แต่จำไม่ได้ว่าโดนข้อหาอะไร กระทั่งเรื่องเงียบ จู่ๆ นายกิตติก็มาโผล่ที่บ้านราชบุรี ตอนนั้นยังไม่ได้บวชเป็นพระ พร้อมกับเข้ามาสารภาพกับพ่อของตนว่า ต่อไปนี้จะกลับตัวเป็นคนดี แต่พอคล้อยหลังไม่นาน นายกิตติก็เริ่มออกลายหลอกลวงชาวบ้านเหมือนเดิม คราวนี้มีสมุนร่วมขบวนการ 40-50 คน ใช้เล่ห์กลเรียกศรัทธาว่า เป็นผู้วิเศษมีเวทมนตร์คาถา

ผู้ที่เคยร่วมขบวนการตุ๋นคน จากความเชื่อรายนี้ ยังยอมรับว่า ร่วมงานกับนายกิตตินานถึง 8 ปีเต็ม ตั้งแต่ปี 2529-2536 จึงทะเลาะแตกคอกัน ซึ่งเมื่อแยกตัวมาแรกๆ ก็คิดว่าจะหากินด้วยวิธีการเดียวกัน แต่ได้รับการท้วงติงจากนายตำรวจคนหนึ่ง รั้งสติไว้ จึงกลับเนื้อกลับตัว และคิดว่าสักวัน หากมีโอกาสจะต้องล้างบาปที่คาใจ ด้วยการเปิดโปงให้คนทั่วไปที่ตกเป็นเหยื่อ หรือกำลังลุ่มหลงงมงายได้หูตาสว่าง จากนั้น นายภูวนาทสาธยายกรรมวิธีในการลวง ให้คนที่มีความเชื่อเป็นพื้นยิ่งหลงงมงาย ว่าจะแต่งตัวเป็นเทพ เหมือนรูปที่ลงใน นสพ.ไทยรัฐ และพูดคุยกับนายกิตติ ด้วยภาษาเทพที่เป็นคนแต่งขึ้นมาเองทั้งๆ ที่ไม่มีรู้ว่าเป็นภาษาอะไร แต่จะมีบางคำเป็นรหัสรู้กัน อย่างเช่นคำว่า "ซีเซะ" หมายความว่า ให้สลายตัว คำว่า "ไซมารู" หมายถึง เงิน และ "ซารีอาบอ" หมายถึง เข้ามานี่ ส่วนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อสมัยที่ยังร่วมงานกับนายกิตติมีทั้ง ส.ส. อัยการ รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายทหารชั้นผู้ใหญ่ คุณหญิงคุณนาย แม้กระทั่งภรรยาอดีตนายกรัฐมนตรี ทุกคนเคยเข้ามากราบตนแล้วทั้งนั้น เพราะคิดว่าเป็นเทพจริงๆ


วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2543
เหยื่อกู้ 18 มงกุฎแจ้งป.ล่าตุ๋น 3 แสนดูเปรต

เมื่อเช้าวันที่ 19 พ.ค. นางฉวีวรรณ โกสิยพันธ์ อายุ 39 ปี ชาว จ.สุราษฎร์ธานี หนึ่งในเหยื่อที่ถูกนายกิตติ ปภัสโรบล ที่อ้างตัวเป็นพระอาจารย์กู้ ผู้มีเวทมนตร์คาถา หลอกลวงจนสูญเงินไป 3 แสนบาท ได้เดินทางไปที่กรมการศาสนา ร้องเรียนเรื่องที่ตกเป็นเหยื่อ นายกิตติอย่างเป็นทางการ นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่นิติกร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสังฆการ ของกรมการศาสนา นำนางฉวีวรรณไปแจ้งความร้องทุกข์ กับตำรวจกองปราบ ในข้อหาต้มตุ๋นหลอกลวง ทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำ นางฉวีวรรณเป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมง

หลังสอบสวนเสร็จ พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์ศรีนิล สว.ผ.4 กก.2 ป. ได้เปิดเผยว่า นางฉวีวรรณ ผู้เสียหายให้การว่า เคยถูกนายกิตติ หรืออาจารย์เต้ ต้มเอาเงินไป 3 แสน เพื่อเป็นค่าต่อดวงชะตา และเคยพาไปดูผีเปรต ที่วัดเขาแก้ว จ.สุราษฎร์ธานี จนเห็นเปรตรูปร่างคล้ายคิงคอง เปรตเทพารักษ์ ซึ่งเปรตตัวนั้น น่าจะเป็นบุตรชายของนายกิตติ ที่เกิดจากภรรยาคนหนึ่งใน 3 คน ของนายกิติ ที่ร่วมแสดงจัดฉาก นายกิตติยังมีบุตรกับภรรยาอีกคนละ 5-6 คน และยังมีผู้เสียหาย ที่ถูกนายกิตติต้มตุ๋นอีก 3 ราย ที่ต้องเดินทางไปสอบสวน เพื่อนำมาประกอบคดี และอาจจะต้องเรียกตัว พ.อ.นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา นายไชย ณ พล อัศวศุภเศรษฐ์ รวมถึงผู้ที่ปรากฏ ในวีดิโอผีเปรตทุกคน มาสอบสวนหาความสัมพันธ์ กับนายกิตติด้วย หากดูหลักฐานแล้วเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน ก็จะต้องมีความผิดไปด้วย ส่วนนายกิตตินั้น หากพยานที่จะไปสอบเพิ่ม ให้การมัดตัวแน่นพอ คงต้องอนุมัติหมายจับภายในเดือน พ.ค.นี้

ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายหลังจากนายสุวินัย ภรณวลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ได้ใช้ ห้องประชุมของมหาวิทยาลัย เป็นสถานที่แถลงข่าวตอบโต้เรื่อง "ผีเปรต" และปกป้องนายกิตติ จนเกิดเสียงวิจารณ์ในทางที่ไม่เหมาะสม ถึงการกระทำของนายสุวินัยนั้น ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล กล่าววว่า นักวิชาการจะให้ความคิดเห็นในเรื่องใด น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพ หรือความชำนาญความถนัดของตน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีคนหลากหลายประเภท และทุกคนมีสิทธิที่จะเสนอความคิด ความเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ถ้ามีผลกระทบต่อภาพพจน์ของมหาวิทยาลัย เรื่องนี้สภาอาจารย์ธรรมศาสตร์ ก็น่าจะเข้ามาดูแลตรวจสอบ ส่วนการใช้ห้องประชุมคณะมาแถลงข่าวนั้น การขอใช้ห้องประชุมมีสิทธิทำได้ และการตรวจสอบการขอใช้ว่าใช้ทำอะไร ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเท่าไหร่

ขณะที่นายณัฐภูมิ รัฐชยากร นักศึกษาปี 3 คณะเศรษฐศาสตร์ และอุปนายกองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ (อมธ.) กล่าวว่า การที่อาจารย์ที่สอนพวกตนออกมารับรอง คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแก๊ง 18 มงกุฎนั้น ไม่อยากพูดอะไร คงต้องปล่อยให้ความจริงทั้งหมด เปิดเผยออกมาเอง หรือมีการดำเนินคดีกับผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นนักต้มตุ๋น อย่างกรณีนายสมพงษ์ เลือดทหาร ที่ต้มตุ๋นคนทั้งประเทศมาแล้ว ก็ถูกสื่อมวลชนแฉ จนความจริงปรากฏให้เห็น

ด้านพระพิศาลธรรมพาที หรือพระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ดูวีดิโอเปรตลวงโลกที่ พ.อ.นพ.พงศักดิ์นำมาให้ดู ยอมรับว่าตอนที่ดูตอนแรกก็ไม่เชื่อเสียทีเดียว แค่ 50-50 แต่ยอมรับว่า พ.อ.นพ.พงศักดิ์ เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ และมั่นใจว่าคงไม่มาหลอกลวงอาตมาแน่ ก่อนหน้านี้ พ.อ.นพ.พงศักดิ์ยังเคยเอาวีดิโอ ไปเปิดให้พระธรรมโกษาจารย์ หรือหลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ วัดชลประทานฯ เพื่อขอความคิดเห็นจากท่าน เมื่อมีการเปิดโปงความจริงออกมาเช่นนี้ อยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยติดตาม พระกู้มาสอบถาม และพิสูจน์ต่อสาธารณชนอีกครั้งว่า เป็นเปรตจริงหรือเปรตลวงโลก ถ้าเป็นการจัดฉากให้ถ่ายทำ น่าจะจับพระกู้เข้าตะรางไปเลย มิฉะนั้นประชาชนจะถูกหลอกเป็นจำนวนมาก

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าว เดินทางไปที่บ้านเกิดของนายกิตติ ซึ่งอยู่เลขที่ 19 หมู่ 7 ต.หนองกลางนา อ.เมือง จ.ราชบุรี พบนางจ่อย มารดาเลี้ยงขณะนี้อายุได้ 70 ปีซึ่งเล่าว่า หลังจากเรียนจบชั้น ป.4 โรงเรียนวัดสนามไชย อ.โพธาราม นายกิตติก็หายจากบ้านไปหลายปี กลับมาอีกครั้งก็คุยว่าไปเรียนวิชามาจากประเทศอินเดีย และอ้างว่าสามารถสะกดจิตคนได้ รวมทั้งเสกใบโพธิ์ โดยเหวี่ยงไปข้างหน้า ให้กลายเป็นธนบัตรใบละ 500 บาทได้ มีชาวบ้านหลงเชื่อ แต่เมื่อนำกลับไปบ้านก็เป็นใบโพธิ์อย่างเก่า จึงทำให้หลายคนเกิดความสงสัย

นายกิตติหายไปจากบ้านอีกพักใหญ่ ก็กลับมาอีก พร้อมนำเงินกลับมาสร้างบ้านเรือนไทยด้วยไม้สัก ราคานับสิบล้านบาท และลงเล่นการเมืองท้องถิ่น เป็นสมาชิกสภาเทศบาล ต่อมามาถูกจับกุมข้อหาหลอกลวง จนถูกถอดถอนจากตำแหน่งไป ก่อนจะหายหน้าไปจากจ.ราชบุรี ส่วนบ้านเรือนไทย ได้ขายต่อให้ผู้อื่นถึง 3 ราย แต่ก็ไม่มีใครกล้าอยู่ เนื่องจากในบ้านมีรูปปั้นนายกิตติ เปลือยเปล่าไม่สวมเสื้อผ้าเหมือนเปรตยืนตระหง่านอยู่ในบ้าน ทำให้ทุกคนกลัวอาถรรพณ์ ปัจจุบันบ้านเรือนไทยกลายเป็นบ้านร้าง เพราะเจ้าของคนล่าสุดไม่มาอยู่ ปล่อยทิ้งให้หญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด


วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2543
กระชากหน้ากากกู้ 18 มงกุฎ หน.แก๊งผีเปรต

ในที่สุด ความจริงก็หนีไปไม่พ้น สำหรับขบวนการ "เปรต" ที่ออกอาละวาด ตุ้มตุ๋นผู้คน โดยหลังจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ตีแผ่กระชากหน้ากาก แก๊งลวงโลกออกมาเป็นระลอกนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยประวัติ ของชายที่อ้างตัวว่าชื่อพระอาจารย์กู้ ซึ่งเป็นนักต้มตุ๋นตัวยงจากนายทรงยุทธ การพานิช ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2ต.พังตรุ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เจ้าของโรงสีข้าวการพานิช ใหญ่ที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรี ว่าพระอาจารย์กู้ นั้น ชื่อจริง คือ นายกิตติ ปภัสโรบล อายุ 55 ปี บ้านเกิดอยู่ จ.ราชบุรี เมื่อประมาณปี 2535-2537 อาจารย์กู้ ได้มาจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์วิปัสสนา กาญจนาเมตตาธรรม ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น "สำนักสงฆ์กาญจนาเมตตาธรรม" ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ต.หนองตากยา อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

ตลอดเวลาที่จำพรรษา อยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ได้ปฏิบัติตน เป็นพระที่มีวิชาอาคมสูง ชอบแสดงอภินิหารต่าง ๆ มากมาย เช่น ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ไม้ค้ำดวง แล้วจำหน่ายให้แก่ญาติโยม ลูกศิษย์ที่มาหาในราคาสูง บางครั้งจะแสดงอิทธิฤทธิ์แบบเหลือเชื่อ อ้างว่าสามารถเสกธนบัตรใบละ 100 บาทให้เป็นธนบัตรใบละ 500 บาทหรือใบละ 1,000 บาทได้ รวมทั้งเสกแหวนเงิน กำไลเงิน สร้อยเงินให้เป็นแหวนทอง กำไลทอง และสร้อยทองได้ เป็นต้น บางครั้งก็จะทำทีเป็นนั่งสมาธิบริกรรมคาถาอาคมแล้วชี้ให้ชาวบ้านขุดดินลงไปก็จะพบพระพุทธรูปต่างๆ รวมทั้งเครื่องรางของขลังหลายชนิด จากนั้น ชาวบ้านก็จะขอซื้อขอเช่าโดยให้ในราคาที่สูงลิบลิ่ว มีชาวบ้านจากทั่วสารทิศ แห่กันมาหามากมายแน่นสำนักสงฆ์ จนแทบไม่มีที่จอดรถในแต่ละวัน

ต่อมาชาวบ้านบางคนรู้ตัวว่าถูกหลอก จึงพากันเข้าแจ้งความที่ สภ.ต.สำรอง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เมื่อชายที่อ้างว่าเป็นพระอาจารย์กู้รู้เข้าก็ไหวตัวหลบหนีไป แต่ตำรวจกองปราบฯติดตามจับกุมตัวได้ที่บ้านเกิดคือที่ จ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2537 และนำตัวส่ง สภ.ต. สำรอง ท้องที่เกิดเหตุ โดยมี พ.ต.ท.ดำรงค์ ม่วงอยู่ เป็น พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ระหว่างนั้นได้มีตำรวจยศ "พันตำรวจโท" ผู้หนึ่งได้มาประกันตัวออกไป ส่วนคดี ได้มีการส่งฟ้องศาลจังหวัดกาญจนบุรี

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้รับการเปิดเผยจาก ส.ต.ต.อานนท์ พรานมนัส อายุ 33 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจกองวิทยาการ จ.ราชบุรี ว่า หลังจากที่ "ไทยรัฐ" ได้เสนอข่าวนี้ออกมา ทำให้เกิดความสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของแก๊งต้มตุ๋นแก๊งหนึ่ง กระทั่ง ได้มีการตีพิมพ์ภาพขบวนการผีเปรตในเวลาต่อมา เมื่อเห็นภาพก็ยืนยันได้เลยว่า บุคคลในภาพที่แต่งตัวเป็นพระคือนายกิตติ ปภัสโรบล อายุประมาณ 53 ปี มีนามสกุลเดิม "เขาสังข์" เป็นชาว จ.ราชบุรี เป็นนักต้มตุ๋นตัวฉกาจ หลอกชาวบ้านมามากมาย แม้กระทั่งนายพลเอกทหารก็ยังโดน โดยพฤติกรรมของนายกิตติ คือ จะโกนหัวทำเหมือนบวชเป็นพระ แล้วเที่ยวหลอกดูดวงชะตาของเหยื่อที่เข้ามาติดกับให้ถวายเครื่องสังฆทานหรือเงินทอง พอตกกลางคืนก็จะเปลี่ยนเสื้อผ้าออกเที่ยวตามคาเฟ่ต่างๆ นอกจากนี้ นายกิตตินี้ยังชอบอ้างเป็นนายทหารยศพันเอกพิเศษ โดยตั้งฉายาว่า "เกตเต้" อีกด้วย

ส่วนภาพผีเปรตร่างโย่งที่ยืนกวัดแกว่งแขนในม้วนวีดิโอนั้น ตนคิดว่าน่าจะเป็นนายกิตติชัย หรือบู๋ ปภัสโรบล อายุประมาณ 20 ปี ลูกชายของนายกิตตินั่นเอง เพราะนายบู๋ผู้นี้มีรูปร่างผอมแห้งตัวสูง จะตัดผมสั้นตลอดและสักคิ้วจนหนา นายกิตติมีภรรยาหลายคน แต่คนปัจจุบันชื่อนางตา เปิดร้านคาราโอเกะชื่อ "หนึ่งสาว" อยู่ที่สี่แยกวังหิน ถนนลาดปลาเค้า ใกล้ซอยโชคชัย 4 กทม. นายกิตติไม่สามารถอยู่ที่ จ.ราชบุรี ได้เพราะหลอกลวงเขาไปทั่ว


วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

ตร.เห็นจะจะ แก๊งเปรต ทำวีดิโอแหกตา

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา หลังจากเดินทางเข้าไปดูพื้นที่ คำชะโนด จุดที่มีการอ้างว่าถ่ายภาพวีดิโอผีเปรตได้ และพบ จ.ส.ต. สุเวศน์ มะเวน ผู้ช่วยหัวหน้าตำรวจชุมชนบ้านม่วง อ.บ้านดุง ซึ่งยืนยันว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ต่อวันที่2 พ.ค. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 01.00 น. ตนและเจ้าหน้าที่ ตชด. บ้านม่วง 4 นาย ออกปฏิบัติหน้าที่เวรยาม ที่บ้านโนนเมือง ซึ่งมี งานบุญประจำปี เมื่อกลับมาที่ตู้ยาม ซึ่งตั้งอยู่ที่คำชะโนด ได้พบรถตู้อีซูซุ หมายเลขทะเบียน อร 4527 กรุงเทพมหานคร จอดอยู่เป็นที่น่าสงสัย จึงไปเคาะกระจกรถสอบถาม ซึ่งคนที่นั่งประจำที่คนขับแจ้งว่ารถเสีย และกำลังรออีกคันหนึ่ง เข้าไปตามช่าง ในเขตอำเภอบ้านดุง จากนั้นพวกตนจึงให้ คนคนนั้นเปิดไฟหน้ารถ และพากันเดินเข้าไปที่บริเวณคำชะโนด ซึ่งพบคน 6 คน เดินออกมาจากคำชะโนด จึงนำตัวมาสอบถาม

พบว่าคณะดังกล่าว มีอุปกรณ์ในการถ่ายทำภาพยนตร์มาด้วย เมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ และ 2 ในจำนวนนั้นยื่นนามบัตรให้เจ้าหน้าที่ โดยชื่อที่ปรากฏในนามบัตรอ้างว่าคือ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อีกคนอ้างว่าชื่อนายเกียรติ ทวีผล เอ็กเซกคลูซีฟ ไดเรกเตอร์ ที่อยู่เลขที่ 428/26 สุขุมวิท 36 (เอกมัย) กทม. ขณะที่นายกิตติโชค ประภัสโรบล อายุ 20 ปี อยู่เลขที่ 124/69 ถนนเสือป่าต.หน้าเมือง จ.ราชบุรี อ้างว่าเป็นคนขับรถ ส่วนนอกนั้นอีก 3 คนจำชื่อไม่ได้ ทราบแต่เพียงว่ามีคนอ้างตัวเป็น ทหารยศพันเอกพิเศษ พร้อมแสดงบัตรให้ดู และที่จำได้ คือ พันเอกพิเศษผู้นี้นุ่งห่มผ้าเหมือนพระ แต่มีสีเขียว ซึ่งภายหลัง นสพ.ไทยรัฐ ลงข่าวเห็นว่ารูปเทพารักษ์ ที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ คล้ายพันเอกพิเศษคนนี้มาก

หลังจากคณะชุดนี้ขึ้นรถตู้กลับไปแล้ว ก็มีรถกระบะโตโยต้า ฮีโร่ สีแดงวิ่งอ้อมมารับชายอีก 8 คน โดย 4 คนแรกผอมมาก เสื้อไม่ใส่จนเห็นซี่โครงชัดเจน นุ่งโจงกระเบนสีแดง ส่วนอีก 3 คน แต่งกายธรรมดา และอีกคนเป็นทหารยศจ่าสิบเอก เมื่อเข้าไปสอบถาม กลุ่มคนเหล่านี้อ้างว่ามาแก้บน จนกระทั่งมีข่าวลงใน นสพ.ไทยรัฐ จึงเชื่อว่าเป็นการ จัดฉากแน่นอน โดยเฉพาะทหารยศพันเอกพิเศษคนนั้น รูปที่ลงในหนังสือพิมพ์ เชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่อ้างว่า เป็นรูปเทพารักษ์ ที่ทางคณะอ้างว่าถ่ายได้ที่คำชะโนด


วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

แฉแก๊งผีเปรต ระงับฉายวีดิโอ

ภายหลังที่ "ไทยรัฐ" ได้เผยแพร่ภาพ "ผีเปรต" และภาพผู้ที่อ้างว่าเป็นเทพารักษ์ ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผย จากผู้ที่ร่วมไปในคณะถ่ายทำวีดิโอเทปผีเปรต ยังป่าบ้านคำชะโนดของ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา คนหนึ่งที่ไม่ขอเปิดเผยนาม ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย ถึงต้นตอที่มาที่ไป ของการถ่ายทำวีดิโอลวงโลกนี้ว่า เริ่มจากการที่ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ซึ่งมีความเชื่อในทฤษฎีเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ของนายไชยณผล อัครศุภเศรษฐ ที่รู้จักกันในฐานะนักค้นคว้า และนักเขียนเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ จากนั้นเป็นเวลากว่า 2-3 เดือน ที่ทั้งสองคนติดต่อกัน พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ก็ได้เชิญนายไชยณผล มาบรรยายร่วมในรายการทอล์กโชว์หลายครั้ง ต่อมานายไชยณพลอ้างว่า ได้รู้จักพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ "พระอาจารย์กู้" (ชายที่ห่มผ้าสีกรัก เลียนแบบพระ แต่ไม่โกนคิ้วที่ปรากฏภาพในวีดิโอ) และแนะนำให้รู้จัก พ.อ.นพ.พงศักดิ์รู้จัก จนพระอาจารย์กู้เริ่มได้รับความเชื่อถือจาก พ.อ.นพ.พงศักดิ์ ถึงกับมีการเชิญให้นำคณะสำรวจไป "ดูงาน" ที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี โดยพระอาจารย์กู้ได้คุยอวดอ้างว่า สามารถเชิญวิญญาณผีเปรตออกมาแสดงตัวให้เห็นได้ ประกอบกับ พ.อ.นพ.พงศักดิ์มีความเชื่อเรื่อง บุญบาปกรรมเก่าเป็นพื้นอยู่แล้ว จึงตอบตกลงเดินทางไป

ภาพของผีเปรตที่เห็น ยืนแกว่งกวัดแขนอยู่นั้น ถ้าดูให้ดีแล้วก็คือคนธรรมดา และแขนก็ไม่ได้ยาวกว่าปรกติ แต่ภาพที่ออกมาเห็นเป็นเปรตแขนขายาวนั้น อยู่ที่มุมกล้องที่มีเทคนิคถ่ายทำ หลอกตาให้ดูเหมือนยาวกว่า แขนคนธรรมดา ส่วนช่วงขาที่ไม่เห็นนั้น น่าจะเป็นการนำผ้าสีดำมาคลุมไว้เท่านั้น ขณะที่ภาพของผู้ที่อ้างว่า เป็นเทพที่มาโผล่อยู่ด้านหลัง คณะผู้สำรวจผีเปรต เป็นชายรูปร่างท้วม ยืนถอดเสื้อโพกหัว เม้มปาก ทำตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า และมือถือไม้เท้านั้น หากดูให้ดีแล้วจะเห็นว่า ชายในภาพคือพระอาจารย์กู้นั่นเอง ไม่ใช่เทพยดา หรือเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น เพราะระหว่างการถ่ายภาพช่วงนี้ มีการกำหนดให้คณะถ่ายทำหันหลังให้หมด และห้ามหันมองด้านหลัง จึงเป็นไปได้ ที่พระอาจารย์กู้ซึ่งแอบอยู่ข้างหลัง คงไปถอดจีวรทิ้ง ให้เปลือยร่างท่อนบนและเอาผ้ามาโพกหัว แล้วเม้มปากทำตัวสั่นให้ดูสมจริงสมจัง

กระทั่งวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา คณะสำรวจผีเปรต เดินทางไปพิสูจน์อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มีการบันทึกภาพ เทวดาใส่บาตร และภาพเทพารักษ์ได้ โดยภาพที่ออกมาในม้วนวีดิโอนั้น ใครที่เห็นภาพคงคิดว่า อาจารย์กู้มีความสามารถ รับบาตรจากเทวดาในต้นไม้ และคุยกับเทพารักษ์ได้ แต่ข้อสังเกตที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือ ช่วงที่อ้างว่าเทวดาใส่บาตรนั้น ตอนเริ่มต้นของภาพ พระอาจารย์กู้พยายามแสดงให้เห็นว่า ในบาตรของตัวเองนั้นไม่มีอะไรบรรจุอยู่ แต่ขณะที่จะเดินไปรับบาตรกับเทวดาที่ต้นไม้ มีจังหวะหนึ่งที่พระอาจารย์กู้หันหลังให้กล้อง แล้วทำท่าเหมือนเอาอะไรใส่ลงในบาตร จากนั้นสังเกตได้ชัดเจนว่า บาตรเริ่มมีน้ำหนัก เพราะเมื่อนำบาตรชูขึ้นรับ ลักษณะบาตรจะแกว่ง กระทั่งช่วงจบตอนของการใส่บาตรข้าวเทวดานี้ จะเห็นได้ชัดว่า ข้าวที่ปรากฏภายหลังว่ามีอยู่เต็ม บาตรนั้น เป็นข้าวที่หุงด้วยน้ำกะทิ และนายไชยณพลพยายามที่จะใช้คำถาม ชักนำตลอดให้เชื่อว่าเป็นข้าวทิพย์จริงๆ ส่วนเทพารักษ์ที่รูปร่างสูงๆ มีผ้าดำคลุมหัว ยืนถือไม้ค้ำอยู่ใต้ต้นไม้นั้น น่าจะเป็นคนเดียวกับที่แสดงเป็นเปรตมือยาว เพราะเมื่อพิสูจน์ภาพนี้ จากกล้องภาพนิ่งที่ถ่ายออกมาได้ พบว่าเทพารักษ์ผู้นี้ ยืนอยู่บนวัตถุที่มีสี่เหลี่ยมคล้ายกล่องหรือลัง เพราะแสงแฟลชส่องให้เห็นเงาสี่เหลี่ยม ที่บริเวณส่วนขาของเทพารักษ์ชัดเจน ที่ต้องถือไม้ยาวๆ ค้ำไว้นั้นเป็นเพราะยืนบนที่สูง อาจไม่มั่นคง จำเป็นต้องหาอะไรยันเอาไว้

วันเดียวกันที่ห้องประชุมกรมการศาสนา ได้มีการนำม้วนวีดิโอผีเปรตปริศนา ที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญกันในขณะนี้ มาเปิดให้กรมการศาสนาดู เพื่อพิสูจน์ความจริง ซึ่งนายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนา พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกรมการศาสนา ให้ความสนใจมานั่งดู เพื่อพิสูจน์กันแน่นห้องประชุม หลังจากนั้นนายไพบูลย์ให้สัมภาษณ์ว่า อยากจะทราบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับพระที่ปรากฏในวีดิโอ ว่าเป็นพระจริงหรือไม่ เพราะมีข้อสังเกตหลายอย่าง เช่นการแต่งกายไม่ค่อยเรียบร้อย ตามหลักของสงฆ์ รวมทั้งยังไว้คิ้ว ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควร จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสังฆการ ไปตรวจสอบหาข้อมูลของพระภิกษุรูปนี้ เพื่อรายงานให้ เจ้าคณะที่ปกครองพระรูปนี้ ดูแลพฤติกรรมต่อไป ส่วนที่จะมีการนำวีดิโอนี้ ไปฉายในงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา ในวันวิสาขบูชา 17 พ.ค. ที่ท้องสนามหลวง ไม่สมควรที่จะเอามาเผยแพร่ จึงสั่งการให้ทำหนังสือถึงพระเทพดิลก วัดบวรนิเวศวิหาร กรรมการศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เพื่อเสนอความคิดเห็นให้ ท่านพิจารณา กรณีที่จะอนุญาตให้มีการฉายวีดิโอผีเปรต แต่เราคงจะไปบังคับหรือห้ามไม่ได้ เพราะการจัดงานมีคณะกรรมการ ที่ทรงคุณวุฒิหลายคน เชื่อว่าคณะกรรมการเหล่านี้ ก็คงจะมีวิจารณญาณ อย่างไรก็ตาม การที่ภาคเอกชนจะไปเผยแพร่นั้น กรมการศาสนาคงไม่สามารถไปควบคุมได้


วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

พิสูจน์วีดิโอเปรต ตัดต่อชัด "โจ๋ย บางจาก" ยัน

ยังคลุมเครือไม่ชัดเจนกระจ่างแจ้ง สำหรับวีดิโอภาพ "ผีเปรต" ปริศนารูปร่างคล้ายคน มือยาว แขนยาว ที่ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา หมอนักทอล์กโชว์ และนักบรรยายธรรมะอ้างว่า ได้พานักวิชาการกลุ่มหนึ่ง เข้าถ่ายได้จากป่าลึกในเขตบ้านชะโนด จ.อุดรธานี และเตรียมมีการนำออกเผยแพร่ ที่สนามหลวง ในวันวิสาขบูชาที่จะถึงนี้ แต่เมื่อมีการนำวีดิโอม้วนดังกล่าว มาเปิดพิสูจน์กันให้เห็นแบบจะจะ ก็พบว่า มีสิ่งผิดปรกติหลายอย่างที่เชื่อว่า จะเป็นการจัดฉากทำขึ้นมา และไม่ใช่เป็นเรื่องราวลี้ลับ เหนือธรรมชาติแต่อย่างใด ซึ่งต่อมา พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ได้เข้าชี้แจงที่ นสพ.ไทยรัฐ โดยพยายามระบุว่า ภาพผีเปรตที่เห็นในวีดิโอ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ยังไม่คิดจะเผยแพร่ เนื่องจาก ยังไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจน ขณะที่หลายฝ่ายต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่าภาพในวีดิโอนั้น คืออะไรกันแน่

เพื่อต้องการให้ปริศนาลี้ลับ ในม้วนเทปวีดิโอคลายเงื่อนงำออกมา ผู้สื่อข่าวได้นำวีดิโอเทปภาพผีเปรต ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการถ่ายภาพตรวจสอบ โดยเดินทางไปพบกับ นายสันติธร หุตาคม หรือ "โจ๋ย บางจาก" ช่างภาพ และเจ้าของรายการสารคดีชื่อดัง "ส่องโลก" เผยแพร่ทางช่อง 5 ที่ สำนักงานบริษัทส่องโลก ถนนสุขาภิบาล 3 เมื่อบ่ายวันที่ 15 พ.ค. จากนั้นทีมงานรายการส่องโลก ได้นำผู้สื่อข่าวไปเปิดสตูดิโอของบริษัท เพื่อทำการพิสูจน์ภาพผีเปรตกัน ให้เห็นแบบจะจะ เริ่มจาก ทีมงานดูภาพที่ปรากฏในวีดิโอเทป แล้วใช้กล้องถ่ายวีดิโอ แบบดิจิตอลอินฟราเรด ยี่ห้อโซนี่ 180 เอ็กซ์ซึ่งเจ้าของอ้างว่ามีเพียง 3 เครื่อง ในประเทศ ราคาตัวละ 3 แสนบาท และใช้กล้องดิจิตอล ดีเอ็กซ์ 1000 ที่สามารถถ่ายระบบไนต์ชอตได้ จากนั้น นำกล้องทั้งสองระบบ มาทดลองถ่ายในสตูดิโอ เพื่อตรวจสอบลักษณะภาพ ผลปรากฏว่า จากการใช้กล้องดิจิตอลอินฟราเรดตัวแรก ภาพที่จะถ่ายจะต้องมีลำแสงปรากฏชัด เป็นวงในจอภาพ จึงสันนิษฐานว่า ภาพถ่ายผีเปรต ไม่ได้ถ่ายด้วยกล้องวีดิโอ ระบบอินฟราเรดแน่ จากนั้นนำกล้องโซนี่ตัวที่สอง ซึ่งมีระบบไนต์ชอตมาทดสอบการถ่ายภาพเคลื่อนไหวที่ใช้ความเร็วสปีดต่ำ โดยใช้คนเป็นแบบหน้ากล้อง พบว่าภาพที่ปรากฏจะไหวและบิดเบี้ยวคล้ายภาพผี เหมือนที่ปรากฏอยู่ในวีดิโอภาพ "ผีเปรต" ของ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ไม่ผิดเพี้ยน

จากนั้น คณะถ่ายทำสารคดีชื่อดัง ได้นำวีดิโอเทปผีเปรต เข้าระบบการแยกภาพระบบดิจิตอล โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถตรวจสอบภาพได้ทีละเฟรม ปรากฏว่า ทีมงานเห็นความผิดสังเกตหลายเรื่อง อาทิ ภาพจากวีดิโอม้วนผีเปรต ถูกก๊อบปี้มาหลายครั้ง และพบลักษณะของการตัดต่อภาพ ในแต่ละเฟรมอีกด้วย เมื่อแยกภาพออกชนิดเฟรมต่อเฟรม ยังพบด้วยว่า ฉากแรกที่มีการถ่ายภาพผีเปรตได้นั้น มีการพบป้ายขนาดเล็ก อยู่ที่ใต้ขาของภาพผีเปรต ส่วนภาพของชายรูปร่างอ้วน โพกหัวที่ถูกอุปโลกน์ว่าเป็นเทพารักษ์นั้น "โจ๋ย บางจาก" และทีมงานดูแล้วถึงกับส่ายหัว พร้อมกับกล่าวยืนยันหนักแน่นว่า เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะเห็นได้จากแสงเงาของภาพ ที่ปรากฏบริเวณท้อง ของผู้ที่ถูกอ้างว่าเป็นเทพารักษ์

หลังการได้ดูภาพจากวีดิโอ นายสันติธร หรือ โจ๋ย บางจาก ได้เผยกับผู้สื่อข่าวว่า วีดิโอม้วนที่นำมาพิสูจน์ ไม่ใช่ม้วนมาสเตอร์ แต่ถูกก๊อบปี้มาแล้วหลายครั้ง สำหรับภาพผีเปรตที่เห็นในช่วงแรกๆ นั้น ที่มีเสียงพูดออกมา แต่เป็นภาษา ที่ไม่สามารถจะฟังเข้าใจได้นั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สามารถยืนยันได้ว่า เป็นภาษา "ดูโมส" หมายถึงภาษาเทวดา ตนเคยพบการใช้ภาษานี้ ในระหว่างการทรงเจ้าเข้าผี และคำที่พูดออกมา น่าจะมีความหมายว่า ขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางเพื่อถ่ายทำ แต่น่าสังเกตว่าเป็นเสียงที่อัดได้จาก "หลังกล้อง" ไม่ใช่เสียงจาก "หน้ากล้อง" ดังนั้น จึงไม่น่าจะใช่เสียงจากผีเปรต ตามที่กล่าวอ้างกันแน่ๆ คงเป็นเสียงของผู้ถ่ายทำเอง ส่วนการถ่ายภาพนั้น พิสูจน์ได้ว่าใช้กล้องวีดิโอ ในระบบไนต์ชอตถ่าย ไม่ใช่ระบบอินฟาเรด เพราะไม่เห็นลำแสงอินฟาเรด ที่ตัวของผู้ที่อ้างว่าเป็นเปรต แต่แสงไฟที่ตกกระทบใบไม้ข้างตัวเปรต ที่เห็นในภาพนั้น น่าจะเป็นแสงจากไฟฉายที่สาดเข้ามา หรืออาจจะเป็นแสงไฟแฟลช ของวีดิโอก็เป็นได้

"ผมเองไม่เคยเจอผีและไม่เชื่อ แต่หลายคนในทีมงานที่ไปถ่ายทำรายการสารคดี ด้วยกันเคยเจอ ยืนยันได้ว่า ทุกฉากที่ปรากฏนั้น ในฐานะที่เป็นนักถ่ายทำสารคดี สามารถทำให้เกิดแบบเดียวกับภาพผีเปรตได้ ด้วยการใช้กล้องระบบพิเศษที่มีอยู่ ดูแล้วจึงยังไม่น่าเชื่อว่าเป็นผีจริงๆ หากเป็นผม ถ้าถ่ายได้จริงๆ คงจะต้องวิ่งไปถ่ายใกล้ๆ เลย อย่างไรก็ตาม ที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ประเด็นหนึ่ง คือ ภาพที่ปรากฏตัวเปรต ที่เป็นร่างสูงๆ มือยาว แขนยาว ยืนกางแขนในตอนแรก สังเกตว่า กล้องจับภาพไว้ได้ แต่อยู่ๆ ก็หายไปจากเฟรม และโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง ในความเร็วที่สูงมากกว่า 24 ภาพ ต่อ 1 วินาที ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงกว่าปรกติ ที่คนธรรมดาจะจัดฉากแหกตาได้ หรือถ้าเป็นการจัดฉากจริงๆ ต้องใช้ทีมงานมากกว่า4 คนขึ้นไป แต่ข้อสันนิษฐาน ที่อาจมีการถ่ายทำในลักษณะนี้ คือ ผู้ถ่ายใช้ไฟสาดไปข้างหน้า และหลบไฟลงต่ำทำให้ผีหายออกไปจากจอ ซึ่งเรื่องนี้ ตนมีความสนใจ และจะเดินทางไปพิสูจน์ยังสถานที่จริง โดยจะหาจุดที่มีการบันทึกภาพผีเปรต สามารถสังเกตได้จาก ต้นไม้ และป้ายด้านล่าง โดยจะนำกล้องทุกระบบที่มีอยู่ ไปทดลองถ่าย เพื่อทำการเปรียบเทียบ และจะนำมาพิสูจน์ อย่างเป็นทางการต่อไป" โจ๋ย บางจาก กล่าวทิ้งท้าย

ในส่วนของความเห็นของนักวิทยาศาสตร์นั้น ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายระวี ภาวิไล นักดาราศาสตร์ชื่อดังว่า ได้ยินข่าวเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะมีหลายครั้ง ที่พบว่ามีบุคคลบางคน บางกลุ่มอ้างว่าถ่ายภาพมนุษย์ต่างดาวได้บ้าง ถ่ายภาพผีได้บ้าง ให้ประชาชนตื่นเต้นกันไปพักหนึ่ง แต่พอพิสูจน์กันจริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไร ดังนั้น จึงขอให้ระมัดระวังในเรื่องนี้ด้วย อาจเป็นความเข้าใจผิด อย่างไร ก็ตาม เนื่องจากยังไม่ได้ดูวีดิโอม้วนที่ว่านั้น ดังนั้น จึงยังไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์มาก และอาจต้องให้เวลา เป็นเครื่องพิสูจน์ สิ่งที่สร้างความแตกตื่นในครั้งนี้


วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

แฉ-วิดีโอเปรต ส่อพิรุธ! เหมือน "จัดฉาก"

กรณีเปิดโปง เรื่องราวเหนือธรรมชาติ จากปากคำของพระพิศาลธรรมพาที หรือพระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว ว่า พ.อ.นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา หมอนักพูดชื่อดัง พานักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ดั้นด้นเข้าไปบันทึกภาพวีดิโอ ร่างของผีเปรตในป่า จ.อุดรธานี รูปร่างคล้ายคน มีแขนยาวส่วนนิ้วมือยาว ความยาววีดิโอที่บันทึกประมาณ 30 วินาที เตรียมนำไปฉายที่สนามหลวง ในวันวิสาขบูชา วันที่ 17 พ.ค. ซึ่งเป็นเทศกาลส่งเสริมพุทธศาสนา เพื่อให้ชาวพุทธตื่นตัวสำนึกถึง เรื่องบาปบุญคุณโทษ หันมาประพฤติตัวเป็นคนดี เพื่อจะได้ตายแล้ว ไม่กลายเป็นเปรต ความคืบหน้าเรื่องเหลือเชื่อเกี่ยวกับเปรต ที่เป็นข่าวครึกโครมนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 14 พ.ค.นี้ว่า หลังจากปรากฏข่าว ที่ถูกระบุว่าเป็นเปรต หรือผีชนิดหนึ่ง ได้ถูกแพร่ออกไป สร้างความสนใจอย่างกว้างขวาง และมีผู้ยืนยันว่า เปรตมีจริง โดยพระพิศาลธรรมพาที หรือพระพยอม กัลยาโณ พระนักเทศน์ชื่อดัง ได้เปิดเผยกับว่า ตนมีโอกาสชมภาพผีเปรตที่ พ.อ. นพ.พงศักดิ์ถ่ายมาได้ ยอมรับว่า เมื่อก่อนไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อห้าสิบห้าสิบ จากที่เห็นในภาพ มันไม่มีอะไรที่กล่าวได้ว่า เป็นเรื่องโกหก เพราะผู้ถ่ายไม่ได้หวังอะไร แค่อยากให้คนสำนึกเรื่องบาปบุญเท่านั้น

ที่กองบรรณาธิการ นสพ.ไทยรัฐ เย็นวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้นำม้วนวิดีโอเทปบันทึกซ้ำ เหตุการณ์จับภาพผีเปรตได้มาฉายพิสูจน์ ซึ่งพนักงานในกอง บก.สนใจอย่างมาก มาห้อมล้อมหน้าเครื่องรับโทรทัศน์ขนาด 29 นิ้ว กันล้นหลาม โดยภาพที่ปรากฏบนจอมีลักษณะพร่ามัว สีสันไม่ชัดเจน เหมือนภาพขาวดำ มองเห็นสถานที่แวดล้อม เป็นหมู่ต้นไม้รกครึ้ม มีเสียงหรีดหริ่งเรไรดังระงม ถัดจากนั้น ก็ปรากฏภาพคล้ายมนุษย์ขึ้นที่ขอบจอ มีสำเนียงพูดจับใจความไม่ได้ ก่อนจะเห็นภาพมนุษย์เพศชาย รูปร่างผอมซี่โครงบาน อยู่ในลักษณะยืน ท่อนบนเปลือยเปล่า ส่วนท่อนล่างตั้งแต่เอวลงมา เหมือนนุ่งผ้าถุงยาว ไม่เห็นส่วนของลำแข้งและขา อยู่ในระยะห่าง แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ ใบหน้าไม่ชัดเจน ผมยาวแสกกลาง ยืนโงนเงน กางแขนยาว และมือยาวออกด้านข้าง แล้ววาดวงแขนยาวเรียวยื่นมาเบื้องหน้า เป็นชั่วระยะเพียงไม่ถึง 10 วินาที ท่ามกลางเสียงฮือฮา ของผู้ชมหน้าจอโทรทัศน์

ถัดจากนั้น ในจอภาพเห็นแสงวาบขึ้น คล้ายแฟลชจากกล้องถ่ายรูป มีแสงไฟฉาย พุ่งปราดจากขอบจอด้านซ้าย และภาพเหมือนผู้ถ่าย เคลื่อนกล้องวิดีโอตามลำแสงไป ภาพสั่นไหว ก่อนจะเห็นเป็นร่างมนุษย์ หันหน้ามองทางกล้อง วาดวงแขนออกข้างแล้ว ลู่เข้ายื่นมาตรงหน้าสุดแขน 4-5 รอบ เห็นฝ่ามือยาวใหญ่กว่าปรกติ คล้ายคนว่ายน้ำ ภาพเคลื่อนไหวไม่กี่วินาที ก็ตัดภาพเป็นภาพครึ่งตัว ของชายร่างอ้วนลงพุงคะเน อายุไม่ต่ำกว่า 50 ปี โพกศีรษะด้วยผ้าคล้ายคนทางเหนือ หรือชาวพม่าสมัยโบราณ ไม่สวมเสื้อ มือซ้ายถือกระบองยาว ยืนเขย่ากระแทกพื้น เห็นชัดเจน เหมือนมนุษย์ปรกติ มีหนวดเรียวเล็ก ดวงตาถลึง จ้องมองกล้อง ตัวสั่นกระตุกตลอด ทำปากขมุบขมิบ ส่งเสียงในลำคอฮึมฮำ ฟังไม่ได้ศัพท์หรือภาษาใดคล้ายสวดคาถา ซึ่งผู้เกี่ยวข้องระบุว่าเป็นเทพารักษ์ หรือเทพอารักษ์ พอกล้องเลื่อนลงเห็นภาพครึ่งตัวชาย 2 คนขนาบข้างหญิง 1 คน คือ พ.อ.นพ.พงศักดิ์ กับหญิงและชายไม่ทราบชื่อ โดยบุคคลที่ระบุว่า เป็นเทพารักษ์ยืนอยู่เบื้องหลังคนทั้งสาม ซึ่งศีรษะของผู้หญิง อยู่แค่ระดับเอวของเทพารักษ์ ดูราวกับชายที่ถูกระบุว่า เป็นเทพารักษ์มีรูปร่างสูงใหญ่ผิดมนุษย์ทั่วไป ภาพปรากฏอีกราว 5-6 วินาที ก่อนจะจบด้วยภาพบาตรมีข้าวอยู่เต็มบาตร กินเวลาทั้งหมดราว 30 วินาที

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.อุดรธานี ว่า จากการที่มีการอ้างว่า พ.อ.นพ.พงศักดิ์ ถ่ายภาพผีเปรตในป่าบ้านคำชะโนด อ.บ้านดุง นั้น ผู้สื่อข่าวได้สอบถามพระคำพอง สีลสํวโร พระนักปฏิบัติธรรมแห่งวัดป่าบ้านบง ต.นาข่า อ.เมืองอุดรธานี ซึ่งได้ให้คำตอบกับเรื่องเปรตว่า บ้านคำชะโนดไม่ได้เป็นป่าลึก แต่เป็นพื้นที่เหมือนเกาะมีต้นชะโนดซึ่งคล้ายต้นไม้จำพวกมะพร้าวหรือตาล ขึ้นอยู่เป็นกลุ่มกลางทุ่งนา ในพื้นที่เขตติดต่อ 3 ตำบลคือ ต.วังทอง ต.บ้านม่วง และ ต.บ้านจันทร์ มีความกว้างยาวประมาณ 200 เมตรเท่านั้น ขอยืนยันว่าไม่เคยเห็นเปรต เพราะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หากมีวิญญาณ ก็เป็นวิญญาณของคนที่ผ่านการปฏิบัติธรรม ถือศีล จะเป็นพวกผีเปรตไม่ได้เด็ดขาด การที่มีผู้อ้างว่า ถ่ายผีเปรตได้ในสถานที่ดังกล่าว จึงไม่เป็นความจริงเด็ดขาด อาจจะเป็นเพียงการอ้างขึ้น ทั้งที่พื้นที่ตรงนั้น เป็นทุ่งนา จะเป็นป่าลึกอย่างที่อ้างกันได้อย่างไร สำหรับด้านนักวิชาการนายวิสุทธิ์ ใบไม้ นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า ขอเตือนประชาชนว่า อย่าเพิ่งหลงเชื่อเรื่องนี้อย่างผลีผลาม จนกว่าจะมีการพิสูจน์ ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างมีเหตุผล และข้อมูลเพียงพอ คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้

ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อ พ.อ.นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา ตอนค่ำวันเดียวกัน ซึ่ง พ.อ.นพ.พงศักดิ์เผยว่า ตนได้รับการบอกเล่า จากคนรู้จักคนหนึ่งว่า พบเปรตในสถานที่แห่งหนึ่ง อยากให้ตนไปพิสูจน์เพื่อนำไปประกอบการบรรยายธรรมะ ตนจึงเดินทางไปพิสูจน์ร่วมกับคณะ รวม 5 คน เหตุการณ์วันนั้น ได้บันทึกด้วยกล้องวีดิโออินฟราเรด พบร่างอยู่ร่างหนึ่งในระยะไกลคล้ายมนุษย์ มีลักษณะแขนยาวผิดปรกติ ในคณะก็เห็นเหมือนตนทุกคน แต่เนื่องจากผู้บันทึกภาพ เป็นแพทย์คนหนึ่งไม่ เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพจึงไม่ชัดเจน หลังจากวันนั้น ตนได้นำวีดิโอที่บันทึกเข้าหารือกับพระผู้ใหญ่ เช่น ท่านเจ้าคุณปัญญา วัดชลประทานรังสฤษฏ์ ซึ่งได้รับคำแนะนำว่ายังไม่ควรเผยแพร่ แต่ควรจะศึกษาต่อไป นอกจากนี้ตนได้ปรึกษากับผู้ใหญ่อีกหลายคนเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ข้อสรุปว่า เรื่องนี้ควรจะมีการศึกษาในรายละเอียดอีกชั้นหนึ่ง จากการที่บรรยายธรรมะมาค่อนชีวิต ก็เพื่อมุ่งให้คนพ้นทุกข์ และเห็นว่าถ้าเปรตมีจริง ก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะใช้ประกอบคำบรรยายได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ จำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาลงลึกกว่านี้ เพราะตนยึดคติของท่านพุทธทาสว่า ในสิ่งที่สายตาเราเห็น อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า จะเป็นเช่นนั้นเสมอไป เช่น เราเห็นทะเลติดขอบฟ้า แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ ตนไม่ ประสงค์ที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสื่อมวลชน จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน


วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

ผู้สื่อข่าวรายงาน ความลี้ลับสยดสยองของเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 11 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่ท้องสนามหลวง ได้มีการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา ซึ่งมีเหล่าองค์กรชาวพุทธ ตลอดจนวัดวาอารามร่วมกิจกรรมกันคับคั่ง ปรากฏว่า ได้เกิดเรื่องราวชวนขนหัวลุก ที่สร้างความฮือฮาในหมู่พุทธศาสนิกชน ที่เดินทางมาร่วมชมงาน เมื่อเต็นท์จัดแสดงกิจกรรม ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่มีการจัดงานสนทนาธรรมะถ่ายทอดสด ทางสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง โดยนิมนต์พระพิศาลธรรมพาที หรือพระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี มาเทศนา ท่ามกลางพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมรับฟัง กว่า 100 คน

พระพยอมเทศต่อหน้าญาติโยมว่า ขณะนี้ เรื่องของบาปกรรม เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม ไม่รู้ว่าตายไปแล้ว หากทำบาปมากๆ จะต้องกลายเป็นเปรตอสุรกาย เปรตนั้นมีจริง เพราะอาตมาได้เห็นมาแล้ว ก่อนหน้านี้ มีนักพูดชื่อดังคนหนึ่ง ได้เดินทางพร้อมคณะ ไปถ่ายภาพเปรตอสุรกายกลางป่า และประสบความสำเร็จสามารถบันทึกภาพได้ ทั้งภาพถ่ายและวีดิโอ จึงนำมาเปิดให้อาตมาดูที่วัดสวนแก้ว เมื่อได้ดูวีดิโอม้วนนี้แล้ว ชวนขนหัวลุกถึงกับต้องตะลึง เมื่อเห็นว่ามีภาพเปรตอยู่ในจอทีวีจริง รูปร่างคล้ายคน แต่แขนยาวมือยาว ซึ่งในวันที่ 17 พ.ค. อันเป็นวันวิสาขบูชา จะนำมาเปิดที่ท้องสนามหลวง ขอให้ ผู้สนใจมาดูได้ ความยาวประมาณ 30 วินาที

ผู้สื่อข่าวสังเกตว่า ประชาชนที่มานั่งฟัง แสดงอาการสนใจ กับเรื่องภาพถ่ายเปรตอสุรกาย เป็นอย่างมาก บางคนทำท่าขนสยองพองเกล้าไปตามๆ กัน ผู้สื่อข่าว ได้สอบถามข้อเท็จจริงกับพระพยอม ซึ่งได้ยืนยันว่า เห็นภาพเปรตจริง ผู้ที่ถ่ายมาได้คือ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา อดีตเคยเป็นแพทย์ ระดับผู้บริหารโรงพยาบาลหลายแห่ง แต่ปัจจุบัน วางมีดหมอ มาทำงานเป็นนักพูด ซึ่งท่านได้นำวีดิโอม้วนนี้ มาเปิดให้อาตมาดูที่วัด เชื่อว่าเป็นเปรตจริงๆ เพราะคนอย่าง พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ไม่เอาเรื่องเหลวไหลมาหลอกคนแน่นอน ที่สำคัญ วัตถุประสงค์ของผู้ที่เดินทางไปพิสูจน์ความจริงเรื่องเปรต เพราะต้องการทำให้ประชาชนชาวพุทธเห็นว่า บาปบุญนั้นมีจริง ผู้ที่ทำกรรมไว้มาก ตายไปจะต้องตกนรก หรือวิญญาณวนเวียน ไม่สามารถไปสู่ภพภูมิใดได้ กลายเป็นเปรตอสุรกายปรากฏขึ้นกลางป่าเขา ล่าสุดมีการนำวีดิโอออกไปเผยแพร่บรรยายตามที่ต่างๆ แล้ว

ด้าน พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา อดีตแพทย์ชื่อดังกล่าวว่า ภาพเปรตที่ถ่ายมาด้วยกล้องวีดิโอนั้น เป็นความจริง ที่มาของเรื่องนี้ ตนได้รับการบอกเล่าจาก พระภิกษุรูปหนึ่ง ให้เดินทางไปพิสูจน์ที่กลางป่าลึก จ.อุดรธานี จึงนำคณะพร้อมกล้องถ่ายรูป และวีดิโอไปบันทึกภาพเอาไว้ได้ เรื่องนี้เป็นความลี้ลับ ที่ไม่อาจจะพิสูจน์ และตนไม่อยากที่จะออกมาขยายความมาก เกรงคนจะหาว่าเพี้ยน แต่ยืนยันว่า จะนำไปเปิดฉาย ที่ท้องสนามหลวง ในงานส่งเสริมพระพุทธศาสนา วันวิสาขบูชานี้อย่างแน่นอน และขณะนี้กำลังหาหลักฐานเพิ่มเติมให้แน่น ก่อนที่จะมีการนำสื่อต่างๆ ไปร่วมถ่ายภาพพิสูจน์อีกครั้ง โดยตนติดต่อเชิญอธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้เดินทางไปด้วย