นับได้ว่าไสยศาสตร์มีมาในสังคมไทย นับร้อยๆ ปี โดยเฉพาะในยามสงคราม จะ มีการทำพิธี เพื่อให้ผู้ไปออกรบเกิดขวัญ และกำลังใจให้รบชนะ อาจกล่าวได้ว่า ไสยศาสตร์ได้ มีบทบาทสำคัญ ในการตอบสนองความต้องการร่วมของคนไทย ซึ่งมนุษย์แต่เดิมนั้น อาศัยอยู่ ตามถ้ำ ป่าเขา ไม่รู้จักแสวงหาเครื่องอุปโภคบริโภค มาอำนวยความสะดวกให้กับตนเอง รู้ จักเพียงการหุงหาอาหาร เพื่อการดำรงชีพตามอัตภาพ ซึ่งมนุษย์มักประสบเหตุการณ์ต่างๆ ทั้ง ความน่ากลัวแปลกประหลาด มนุษย์จึงต้องเสาะหา แหล่งคุ้มครองตนเอง เพื่อให้ปลอดภัย และ ก่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข จึงเกิดความเชื่อทางไสยศาสตร์ ซึ่งได้มาจากลัทธิที่นับถือ ภูติผี ปีศาจ โดยคำนึงถึงวิญญาณคนตาย ว่าวิญญาณเหล่านั้น อาจมีสถานที่อาศัย เช่นเดียวกับมนุษย์ และมีหัวหน้าเหมือนกับสังคมมนุษย์
ความเชื่อทางไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่มีรูปแบบต่างๆ กัน เช่น ภูติผีปีศาจ วิญญาณ เจ้าที่เข้าทรง เป็นต้น ซึ่งพบมากในหมู่คนที่มีการศึกษาน้อย หรือไม่ ได้รับการศึกษา ยังเป็นที่น่าแปลกใจว่า ปัจจุบัน เนื่องจากมนุษย์เริ่มมีการศึกษาดี จบถึงขั้น ปริญญาตรี แต่ก็ยังพบพิธีกรรมเหล่านี้อยู่ ที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องมาจาก ประชาชนยังขาดที่พึ่ง ทางใจ จึงหันกลับไปยึดถือสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย ที่จะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ ในสิ่งที่ปรารถนา ได้ อย่างน้อยก็เป็นที่พึ่งทางใจ ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรยึดถือเลย
หลังตาขวามีผู้ให้ลาภ หลังตาซ้ายผู้หญิงกล่าวถึง กึ่งกลางตาจะมีคนมาสู่ ตาซ้ายเบื้องต่ำเขาจะหาความเอา จมูกจะมีคนหาความเอาไม่ดี หูขวาจะได้ยินข่างร้ายมาบอก หูซ้ายดีจะได้ลาภ คอข้างขวาจะมีลูกชายอันพึงใจ คอข้างซ้ายจะมีลูกหญิงอันพึงใจ จะรักข้าวของนักนา รักแร้ข้างซ้ายจะได้ลาภ รักแร้ข้างขวาความจะมาถึง หัวใจเขาจะทำโทษ หลังตาจะได้เป็นน้อยกว่าท่าน ปากขวาจะมีลาภ ปากล่างจะมีทุกข์เพราะญาติ ไปไกลผู้ใหญ่จะให้ลาภ ฯลฯ
เงื้อดาบจะฟาดให้ขาดกลาง พอจิ้งจกทักขวางไม่หางที่ เงื้องดอดใจไม่ฆ่าตี เคราะห์ดีแล้วมึงจึงจะรอดตัว
"สิทธิการิยะ จะทำนาย หนูร้อง ร้องกุก ๆจะตีด่ากัน ถ้าร้องสิ ๆจะตายจากกัน ถ้าร้องขิกๆ จะมีพี่น้องมาสู่ ถ้าร้องคุกๆ จะตีด่ากัน ถ้าร้องขีดๆ จะมีลาภแล"
ตุ๊กแกร้องครบห้าครั้ง เรือนใด คนอยู่ ณ ภายใน จักร้อน ทุกข์ทับคับแค้นใจ ตรอมเสร้า เสียทรัพย์หลบหนีซ่อน ทาสแท้คำนึง ตุ๊กแกร้องหกครั้ง ดังประสาน คนรู้จักพรากสถาน เพราะหนี้ ร้านโรงทรัพย์ศฤงคาร เขาแย่งหมดนา เหลือแต่ตนเลี่ยงลี้ หลบทิ้งถิ่นไป ตุ๊กแกร้องเจ็ดครั้ง ดังดี ทุนทรัพย์ในเรือนมี หยิบใช้ ฝูงชนห่อนยายี ดูหมิ่นทางนา เป็นสุขแสวงหาได้ ไม่ต้องยืมเขา ตุ๊กแกนิมิตรร้อง แปดวาร สมบัติทรัพย์ศฤงคาร มากไซร้ เหลือกินเก็บประกอบการ พานิขย์กรรมนา เป็นสุขหาเมียได้ ไม่ต้องหยิบยืม เก้าทีอุโฆษร้อง ดังสรรพ เรือเป็ดบ่าวแจวหงับ ร่มกั้น อยู่แพเพื่อนมารับ เชิญเจี๊ยะ แต้นา ซื้อง่ายขายนั้น นั่งยิ้มกริ่มเกษม ตุ๊กแกแอบสถิตซ่อน ริมฝา เย็นย่ำคลานออกมา สิบร้อง เงินนอนบุตรภรรยา มีมากมูลแฮ เอกเขนกนอนสูบกล้อง ไขว่ห้างแขกหา ฯลฯ
ขอน้อมประณตบทศรี จะแต่งตำราการ้องให้ฤกษ์ดี ตามคัมภีร์ไสยศาสตร์ได้เรียนมา แม้จะมีที่ไปจากนิเวศน์ จึงสังเกตการ้องบอกภาษา ถ้าการ้องบอกทักว่ากากา ไปเบื้องหน้าลาภได้ดังใจ ถ้ากาอ้อกาอ้อบอกภาษา จะมีคนบูชาสมประสงค์ ถ้ากาวักกาวักจักทนง จะเสียทรงเกิดทุกข์ไม่สุขใจ ถ้ากาวากาวาจะม้วยมรณ์ จะสังหรณ์วายชนจนตักษัย ถ้ากาวู้กาวู้ผู้จะไป คงจะได้เมียมิตรประสิทธิ์เอย
ตำราการตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่
อาจกล่าวได้ว่า
ศาลพระภูมิกำเนิดมาจาก คติประเพณีของชนเผ่ามองโกล ที่มี
ความเชื่อถือแน่นแฟ้นในเรื่องวิญญาณ นับถือภูติผีปีศาจ ผีฟ้า
และถือว่าในทุกๆแห่งย่อมมีวิญ ญาณสิงสถิตอยู่ เช่น จะทำการแต่งงาน
ก็ต้องมีพิธีไหว้ผี เด็กคลอดออกมาใหม่ๆ ต้องมี การเส้นวักแม่ซื้อ
เพื่อป้องกันผี ไม่ให้มาเอาลูกของตนไป หรือแม้แต่จะลงเรือ ก็ต้องไหว้
แม่ย่านางเรือ หลังจากนั้นได้ถ่ายทอดไปสู่จีน ดังจะเห็นว่า
หนังสือแทบทุกเล่มของจีน จะ กล่าวถึง
อภินิหารของพระภูมิเป็นส่วนใหญ่ ที่มาช่วยดลบันดาล
ให้ตัวเอกผ่านพ้นอุปสรรค ทุกอย่าง ส่วนไทยนั้น ได้รับคตินี้ต่อมาเช่นกัน
แต่ในสังคมไทยนั้น นับว่ารับเอาวัฒนธรรมอื่นๆ เข้ามามากทั้งพราหมณ์ ฮินดู
และอื่นๆดังที่เห็นในปัจจุบัน
ชาวไทยแต่ดั้งเดิมนั้น เชื่อถือในเรื่องวิญญาณ ว่ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และ สิงสถิตอยู่ทั่วไป ถ้าผีดีถือว่าเป็นเทวดา ส่วนผีเลว ถือว่าเป็นพวกอสูรกาย ภูติผีปีศาจ ซึ่งมัก สำแดงฤทธิ์เดชในทางไม่ดี เช่น เทวดาที่อารักษ์ตามต้นไม้ใหญ่ หรือเรียนว่ารุกขเทวดา หรือ นางไม้ เป็นต้น ดังนั้นถ้าไปอยู่ในที่ใด ก็ต้องเคารพนับถือ สิ่งที่สถิตอยู่ในที่นั้นๆ เพื่อให้เกิด ศิริมงคล ให้งดการเบียดเบียนข่มเหงตนเอง
การตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ เพื่อให้คุ้มกันรักษาบ้านเรือน
และเพื่อให้เกิดความสุข ศิริสวัสดิมงคล แก่เจ้าของบ้าน ต้องคำนึงถึง
เดือน ๕ ๙ ๑ ห้ามตั้งศาลพระภูมิวันพฤหัสบดีและวันเสาร์ เดือน ๖ ๑๐ ๒ ห้ามตั้งศาลวันพุธและวันศุกร์ เดือน ๗ ๑๑ ๓ ห้ามตั้งศาลวันอังคาร เดือน ๘ ๑๒ ๔ ห้ามตั้งศาลวันจันทร์
ถ้าเป็นข้าราชการหรือผู้มียศศักดิ์ ให้หันหน้าไปทางทิศเหนือ (ทิศอุดร) ถ้าเป็นเศรษฐี พ่อค้า ให้หันหน้าไปทางทิศใต้ (ทิศทักษิณ) ถ้าเป็นชาวสวน ชาวนา ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก (ทิศประจิม) ถ้าเป็นพระภูมิวัด สาธารณสถาน ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก(ทิศบูรพา) ถ้าเป็นพระภูมิโรงบ่าวสาว ให้หันหน้าไปทางทิศอิสาน และอาคเณย์
@ โอง์การพิณทุนากัง อุป์ปันนัง พ^รห^มาสหปตินาม อาทิกัปเป สุอาคโต ปัญจปทุมังทิส^วา นโมพุท^ราย วันทนัง ฯฯ ฯลฯ
Orignal web page from:
http://www.chiangmai.ac.th/cyber/human5/ind.html